วันเสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

พัฒนาผักไฮโดรโพนิคส์ แม่โจ้ก้าวหน้านำปลูกบน ไม้ไผ่


“ไฮโดรโพนิคส์” เป็นเทคนิคการปลูกพืชในรูปแบบหนึ่ง...ซึ่งไม่ใช้ดินเป็นส่วนประกอบหลักเหมือนทั่วๆไป โดยส่วนใหญ่มักถูกปรับใช้กับสภาพข้อจำกัดด้านพื้นที่หรือปัญหาสภาวะแวดล้อม

...ยกตัวอย่าง เช่น พื้นที่มีสภาพปัญหาเรื่องดินเลว หรือ แหล่งน้ำไม่สมบูรณ์ จึงมีการออกแบบโรงเรือน และระบบการใช้น้ำ รวมถึงวิธีการควบคุมปริมาณธาตุอาหารให้แก่พืชได้อย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของพืชแต่ละชนิด

นักวิจัยด้านการเกษตร ได้สร้างวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งการเรียนรู้แห่ง ศาสตร์ของเกษตร สามารถปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ การปลูกพืชในสารละลาย (Water Culture) ปลูกพืชในวัสดุปลูก (Sub strate Culture) และ ระบบปลูกให้รากลอยอยู่กลางอากาศ (Aeroponics)

รศ.ดร.เทพ พงษ์พานิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ บอกว่า ทีมงานวิจัยได้พยายามศึกษาเปรียบเทียบการปลูกพืชทั้ง 3 แบบนี้ เพื่อต้องการให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและลดต้นทุนการผลิต โดยร่วมมือกับ โครงการหลวง สร้างชุดสาธิต...ปลูกผัก ไฮโดรโพนิคส์ขนาดใหญ่ มีความสูงกว่า 3 เมตร ซึ่ง ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้ไม้ไผ่ที่นำมาจาก สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆมาร่วมออกแบบระบบ เพื่อเน้นให้เห็นว่าสามารถใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาประยุกต์เพื่อประหยัดต้นทุนโรงเรือน และนำไปใช้ได้จริงในระดับครัวเรือนชุมชน เมื่อ ปลูกผักแล้วนำมาบริโภคเองอย่างปลอดภัยสอดคล้องกับ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ได้เป็นอย่างดี

รศ.ดร.อานัฐ ตันโช หัวหน้าโครงการปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักคิดว่า

ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนไฮโดรโพนิคส์มีราคาสูง หากเทียบเปรียบกับการปลูกพืชในดินตามปกติ อีกทั้งผู้ปลูกจะต้องมีความรู้ ด้านการจัดการและเทคโนโลยีที่สูงกว่า ทั้งที่จริงแล้วเป็น การควบคุมใช้ธาตุอาหารของพืช ได้ง่ายกว่าการปลูกในดิน สามารถควบคุมผลผลิตและระยะเวลาได้ ค่อนข้างแน่นอน ทำให้ ผลผลิตของไฮโดรโพนิคส์ ออกเร็วกว่าการปลูกในดินประมาณ 1 สัปดาห์ และยังช่วยลดค่าแรงงานในการเตรียมแปลงปลูก ไม่ต้องเสียค่ารถไถ และ ค่ากำจัดวัชพืช หากต้องการปลูกเพื่อการค้าควรมีการศึกษาตลาดผู้บริโภคหรือปลูกพืชชนิดที่ไม่ค่อยมีวางจำหน่ายในท้องตลาด

หัวหน้าโครงการปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ กล่าวอีกว่า คำแนะนำสำหรับบางคนที่อาจมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องสารตกค้าง วิธีรับประทานผักไฮโดรโพนิคส์ ไม่ว่าจะเป็นผักที่ซื้อมาหรือปลูกเองจากแปลง ให้นำผักไปแช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ผักจะอิ่มตัวแล้ว คายสารที่ตกค้างออกมาได้หมด ทำให้สามารถบริโภค ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีรายละเอียดให้ท่านที่สนใจด้วยเช่นเดียวกัน

และนอกจากชุดสาธิตไม้ไผ่ขนาดยักษ์แล้ว ทีมงานวิจัยยังสร้างชุด ปลูกผักโฮโดรโพนิคส์ขนาดเล็ก จากไม้ไผ่ฝีมือของนักศึกษาใน ราคาต้นทุนไม่เกิน 500 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญยินดีให้ความรู้ และสอนวิธีการปลูกให้สามารถนำกลับไปปลูกที่บ้านได้ ดังนั้นหากต้องการปลูกผักกินเองก็สามารถซื้อชุดปลูกผักสำเร็จรูป ในแบบราคาย่อมเยานี้ไปปลูกหลังบ้านก็ได้เช่นกัน เพราะโรงเรือนไฮโดรโพนิคส์สามารถปลูกผักได้ทุกชนิดเหมือนการปลูกผักในดิน ทั้งผักพื้นบ้าน และ ผักเมืองหนาว ที่นำมาสาธิต เช่น ผักกาดแก้ว เนื่องจากเป็นที่นิยมในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพอย่างสลัดผักนานาชนิด


ใครสนใจต้องการชมชุดปลูกผักไฮโดรโพนิคส์ จากไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กริ๊งกร๊าง โดยตรงที่ รศ.ดร.อานัฐ ตันโช หัวหน้ากองทุนปุ๋ย อินทรีย์และไฮโดรโพนิคส์ มูลนิธิโครงการหลวง ภาควิชาทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 0-5387-3490 ต่อ 117,08-9956-9830 หรือคลิกที่ www.maejohydroponics.org

ขอขอบคุณ ข่าวการเกษตร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอังคารที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

ผลิตปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ พด.อบรมฟรีทั่วประเทศ


นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เผยว่า ปัจจุบันปริมาณขยะเพิ่มขึ้น น้ำทิ้งจากชุมชนลงแหล่งน้ำธรรมชาติและการทำปศุสัตว์ กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญส่งผลให้เกิดน้ำเสียและส่งกลิ่นเหม็น ที่ผ่านมา กรมได้ทำการวิจัยด้านจุลินทรีย์และมีผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์สารเร่ง พด. เพื่อใช้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำหมักชีวภาพ สารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็นจึงส่งเสริมให้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตรวมถึงลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีตลอดจนใช้เพื่อกำจัดกลิ่นเหม็นในคอกเลี้ยงสัตว์หรือบำบัดน้ำในบ่อเลี้ยงปลา

ดังนั้น กรมจึงต้องการขยายผลการดำเนินงานที่มุ่งเน้นไปในกลุ่มประชาชนในเขตชุมชน เพื่อช่วยลดปัญหาขยะในชุมชนเมืองเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งกรมฯได้เปิดฝึกอบรมในหลักสูตร การผลิตและใช้น้ำหมักชีวภาพ สารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็นโดยใช้สารเร่ง พด.ขึ้น โดยตั้งเป้าอบรมหลักสูตรนำร่องรวม 4 รุ่น ขณะนี้อบรมแล้ว 2 รุ่น ได้รับความสนใจจากประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงเดินทางมาจากจังหวัดต่างๆจำนวนมาก ซึ่งจะเปิดอบรมในรุ่นต่อไป ผู้สนใจสอบถามที่ 0-2579-8515, 0-2579-0679

“นอกจากนี้ กรมฯยังมุ่งหวังว่าจะช่วยให้เกิดการขยายเครือข่ายผู้ผลิตและใช้น้ำหมักชีวภาพเพิ่มขึ้นในแต่ละชุมชน สำหรับท่านที่อยู่ต่างจังหวัดหรือไม่สะดวกเดินทางแต่ในชุมชนมีผู้สนใจสามารถรวมตัวกันติดต่อมายังกรมฯจะส่งเจ้าหน้าที่ไปอบรมให้ถึงชุมชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ” นายฉลองกล่าว.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

คุยกันเรื่อยเปื่อย1


วันนี้ผมคงไม่โพสต์ข้อความอะไรมากเพียงแค่อยากบอกเล่าอะไรนิดหน่อย
ทุกวันนี้ การดำเนินชีวิตนั้นแสนยากผิดพลาดอะไรแทบไม่ได้รับโอกาสให้แก้ตัวจากสังคมเลยเพราะฉะนั้นเราต้องไม่ประมาทกับการดำเนินชีวิตแม้ซักวินาทีเดียวต้องมีสติรอบคอบ เพราะทุกๆอย่างที่เราก่อร่างสร้างขึ้นมาก็พร้อมที่จะมลายหายไปจากเราทันที
ฐานะทางสังคมก็เช่นกัน ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งวัดค่าของเรา จะต่ำจะสูงก็ดูที่เงิน!!! ใครมีเยอะใครใช้เยอะเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อหน้าตาทางสังคมหรอกหรือ??? แต่ยังไงซ่ะก็ขอให้เชื่อไว้ว่า"ประหยัดและอดออมคือสิ่งที่ดีที่สุด"
แต่ถ้าเราประหยัดไม่ได้ล่ะจะทำอย่างไร วันหลังผมจะมาคุยเรื่อยเปื่อยให้อ่านนะครับ

วันอังคารที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

ออมอย่างมีวินัย หัวใจสู่สุขภาพการเงินแข็งแรง

สุขภาพทางการเงินของคุณดีแค่ไหน ลองถามตัวเองดู ถ้าอยากมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ก็ให้รู้ไว้เถอะว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนไกลเกินเอื้อมหรอก เพราะสุขภาพทางการเงินที่ดีสร้างกันได้ ถ้าคุณมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
"พิชิตสุขภาพทางการเงินที่ดีใน 31 วัน" สำหรับบางคนอาจฟังดูเป็นเรื่องที่เข็นครกขึ้นภูเขายังง่ายซะกว่า แต่ลองอ่านแล้วปฏิบัติตามทีละสเต็ป แล้วคุณจะพบว่า แค่ 31 วันคุณก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้
บทความนี้จะเป็นเข็มทิศนำทางพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งที่เปิดประตูรออยู่ข้างหน้า
***************
นอกเหนือจากสุขภาพกายที่ดีแล้ว สุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง คงเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะมี แต่ใช่ว่าทุกๆ คนจะสุขภาพทางการเงินที่ดีกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปไกลถึงการออมเงินหรอก แค่จะจัดสรรเงินให้พอใช้ในแต่ละเดือนสำหรับบางคนยังยากสิ้นดี
ทั้งที่จริงแล้ว การทำตัวเองให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก ภายใน 31 วันหรือ 1 เดือนคุณก็สามารถเป็นเจ้าของสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ ถ้าใจมุ่งมั่นซะอย่าง
Day 1. ประกาศเจตนารมณ์การออม สุขภาพทางการเงินที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะออมเงิน ก่อนอื่นประกาศเจตนารมณ์การออมเงินของคุณให้ชัดเจนไปเลยว่า จะออมเงินอย่างจริงจัง ต่อไปนี้ชีวิตของคุณจะมีเงินออมอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ต่อไปนี้ ชีวิตคุณจะไม่ไร้เงินออมอีกต่อไป จากนั้นก็หันมาใช้ชีวิตแบบ "ออม" ก่อนแล้วค่อย "ใช้" ข้อสำคัญคิดเป้าหมายอยู่ในใจด้วยว่าคุณออมไปเพื่ออะไร จะเก็บไว้ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ เอาไว้เป็นสินสอดทองหมั้น หรือเอาไว้ยามชรา ก็เป็นสิทธิที่คุณจะคิดและฝันได้ทั้งนั้น
Day 2. ออมแบบไม่ให้เป็นภาระ เมื่อรักที่จะออม ก็จงอย่าให้การออมสร้างความรู้สึกเป็นภาระให้กับคุณ เพราะเมื่อไหร่ที่ปล่อยให้คำว่า "ภาระ"มาบั่นทอนการออมของคุณแล้ว ในที่สุดแผนการออมของคุณก็จะต้องสะดุดลงในไม่ช้า เพราะฉะนั้นออมให้พอเหมาะพอดี และสอดรับกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณ ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป เพื่อทำให้การออมของคุณเป็นไปอย่างตลอดรอดฝั่ง
คนที่รู้ดีที่สุดว่าออมเท่าไหร่ ถึงจะไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปคือตัวคุณเอง เช่น ถ้ามีเงินเดือน 15,000 บาท ในแต่ละเดือนคุณต้องผ่อนบ้านเดือนละ 7,000 บาท และใช้จ่ายเดือนละประมาณ 6,000 บาท แบบนี้ก็ไม่ควรดึงดันออมให้มากเกินกำลัง ออมเดือนละ 2,000 บาท ก็ไม่ได้ขี้เหร่จนเกินไป
Day 3. วินัยเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ความเสมอต้นเสมอปลาย ออมอย่างมีวินัยสม่ำเสมอ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการออมได้อย่างไม่ยาก อย่าทำตัวเป็นพวกสามวันดีสี่วันไข้ เดือนนี้มุ่งมั่นจะออมแบบเอาเป็นเอาตาย เดือนถัดไปขอเว้นวรรค แบบนี้เห็นทีจะไม่รุ่ง
Day 4. ให้ทุกวันมีแต่คำว่าประหยัด เมื่อออมกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ก็อย่าลืมใช้ชีวิตแบบพอดีพอเพียง กินใช้อย่างประหยัด ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยจนเกินความจำเป็น ทำให้ทุกวันของชีวิตคุณมีแต่คำว่าประหยัด ไม่ใช่ว่าประกาศป่าวๆ ว่าจะออมเงิน แต่ยังเปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น หรือชอปปิงที่ตลาดนัดข้างออฟฟิศได้ทุกวี่ทุกวัน
Day 5. ปรับพฤติกรรมใช้จ่าย ถ้าอยากเป็นคนสบายในวัยชราหรืออยู่เคียงคู่ความมั่งคั่ง ทางที่ดีคุณควรจะปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย นิสัยใช้จ่ายแบบเดิมๆ ที่เคยจับจ่ายแบบคล่องมือ ก็ลดละเลิกซะ หรือประเภทใช้บัตรเครดิตชนิดรูดกระจาย รูดปรื้ด รูดปรื้ด พฤติกรรมแบบนี้ทิ้งได้ทิ้งเลย เปลี่ยนมาเป็นคนที่ใช้จ่ายแบบคิดหน้าคิดหลังดีกว่า ก่อนควักกระเป๋าซื้อทุกครั้ง ช่างใจดูก่อนว่า ของชิ้นนั้นซื้อไปแล้วคุ้มค่าหรือไม่
มีผู้หญิงหลายคนซื้อของแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อไปถึงบ้าน ข้าวของพวกนั้นก็ยังกองอยู่ที่บ้าน โดยที่ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์เอาเป็นว่า ก่อนซื้อทุกครั้ง ถามหาความคุ้มค่าจากเงินที่เสียไปก่อน
Day 6. รู้จักใช้เงินอย่างมีความสุข เมื่อไหร่ที่ออมก็ขอให้ออมอย่างพอดี สนุกกับการออมได้แต่ไม่ใช่ว่าตระหนี่ถี่เหนียว เสียจนชีวิตขาดความสุข มีคนจำนวนไม่น้อย ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินลูกเดียว ไม่ยอมควักออกมาใช้จ่าย หรือซื้อในสิ่งที่ควรจับจ่าย โดยหวังว่าจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ใช้ในบั้นปลาย ประเภทนี้ก็จะกลายเป็นคนออมที่ชีวิตปัจจุบันขาดความหอมหวาน ชีวิตมีแต่ความแห้งแล้ง ฉะนั้น อย่ามัวแต่ทำมาหาเก็บ แต่รู้จักใช้เงินให้เป็น แบบนี้จะดีกว่าจะได้สุขทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
Day 7.วางแผนออมเพื่อเกษียณอายุ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นการออมเงินเพื่ออะไรก็แล้วแต่ จงอย่าลืมเก็บหอมรอมริบเผื่อไว้ใช้ในช่วงเกษียณอายุด้วย เพราะในวัยนั้นคุณคงไม่มีแรงทำมาหากินเพื่อสร้างรายได้อีกต่อไป ฉะนั้น ลองคิดคร่าวๆ เผื่อดูว่าคุณอยากจะเป็นคนแก่ที่มีเงินใช้ประมาณเท่าไหร่ อยากกินใช้อย่างสบายก็เก็บออมเอาไว้เยอะๆ และลงมือออมเร็วๆ แล้วนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อยอดให้ออกดอกออกผล
Day 8. ลงทุนให้เงินงอกเงย ตั้งท่าจะออมเงินท่าเดียว แล้วเมื่อไหร่เงินถึงจะงอกเงยอย่างงดงามล่ะ เพราะการฝากแบงก์อย่างเดียว บางทีอาจทำให้เงินของคุณแทบไม่ไปไหน ลองศึกษาหาข้อมูลการลงทุนในช่องทางอื่นที่ปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น กองทุนรวม พันธบัตร สหกรณ์ออมทรัพย์ หรือทองคำ เป็นต้น ข้อสำคัญคือ เลือกช่องทางลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ แล้วศึกษาอย่างถ่องแท้ให้รู้ และเข้าใจอย่างแท้จริง โอกาสขาดทุนจะได้น้อยที่สุด
Day 9.จดทุกรายการรับจ่าย ตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการเงินทองโดยมากมักเป็นคนที่ใส่ใจกับรายละเอียดการใช้เงิน โดยจะมีการจด และบันทึกการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการจดรายละเอียดการใช้จ่าย จะทำให้คุณรู้เท่าทันสถานการณ์ทางการเงินของตัวเอง ว่าคุณมีค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ไม่จำเป็น หรือมีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยปูดโปนโผล่ออกมาจากงบ จากปากคำของผู้ที่จดทุกรายการรับจ่าย ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำให้เขาสามารถวางแผนการเงินได้มีประสิทธิภาพ ยังไม่สายเกินไปหรอก ถ้าที่ผ่านมาคุณยังไม่ได้ลงมือบันทึกการรับจ่าย เริ่มเสียตั้งแต่วันนี้เลย
Day 10. มุ่งมั่นใช้หนี้ การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไรอีกแล้ว ในยุคที่หนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนส่วนใหญ่ ข้อสำคัญคือ มีสร้างหนี้ได้ ก็ต้องชำระหนี้โดยไม่อิดออด ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน ผ่อนรถ กู้เงินด่วน หนี้บัตรเครดิต ไปจนถึงหนี้นอกระบบ สารพัดสารเพหนี้ที่พร้อมใจกันทำให้ภูมิต้านทาน ทางการเงินของคุณย่ำแย่ลง
ถ้ายังไม่เป็นหนี้ ก็อย่าพยายามสร้างหนี้ให้เกินกว่า 50% ของรายได้สุทธิ เพราะอย่าลืมว่าคุณต้องกินต้องใช้ แถมบางคนยังต้องผ่อนบ้านอีก แต่ถ้าหลวมตัวสร้างหนี้กองพะเนินเอาไว้แล้ว ก็อย่าได้เบี้ยว อิดออด หรือชำระหนี้แบบกะปริบกะปรอยอย่างเด็ดขาด มุ่งมั่นปลดหนี้เพื่อเดินไปสู่อิสรภาพทางการเงินโดยเร็ว
Day 11. มองหาทางสร้างรายได้เพิ่ม อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น ก็ลองค้นหาความสามารถของตัวคุณเอง เพื่อเป็นช่องทางสร้างรายได้พิเศษ เพราะยามที่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างขยับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง จนต้นทุนการจับจ่ายใช้สอยของคุณบานปลายหนักขึ้นทุกวัน การหารายได้พิเศษเพิ่ม เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยคุณปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้ง มาถึงตอนนี้ คุณลองสำรวจตัวเองดูซิว่าคุณมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง
ร้อยลูกปัด ทำเทียนหอม เพ้นท์เล็บ ทำขนมเค้ก และคุกกี้ แปลงาน พิมพ์งาน ทำเวบไซต์ ทำอาหาร ซ่อมคอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพ ถ้าที่ว่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่มีอะไรสักอย่างที่คุณทำได้ ก็ลองมองหาคอร์สฝึกอาชีพ ที่อาจจะต้องลงทุนด้วยเงินนิดหน่อย แต่ในอนาคตอาจจะสร้างอาชีพและทำเงินให้คุณก็ได้
Day 12. ตีกรอบใช้บัตรเครดิต ในยามสถานการณ์ปกติ กฎเกณฑ์การใช้บัตรเครดิตโดยทั่วไปในแต่ละเดือนไม่ควรปล่อยให้เกิน 10-20% ใครที่คุมการรูดบัตรไม่ให้เกินเดือนละ 10% และชำระเต็มจำนวนทุกเดือน ถือว่าคุณเป็นคนใช้บัตรเครดิตที่มีวินัย และส่อเค้าว่าน่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ แต่ก็มีหลายคนที่รูดบัตรเครดิตอย่างเพลิดเพลิน ไม่เคยมีลิมิตให้กับตัวเอง แบบนี้ยิ่งต้องตีกรอบการใช้บัตรเครดิตของตัวเอง พวกขาช้อปทั้งหลายยิ่งเข้มงวดกับตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น
Day 13. เลือกโปรโมชั่นมือถือที่เหมาะและประหยัด เริ่มต้นด้วยคำว่าประหยัดแล้ว ค่าใช้จ่ายอะไรที่ต้องจ่ายเป็นประจำ ก็ไม่ควรปล่อยให้บานปลาย หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่ช่วยคุณประหยัดได้คือ ค่าโทรศัพท์มือถือนั่นเอง ถ้าหากคุณประหยัดด้วยการไม่เห่อตามเทรนด์มือถือที่เปลี่ยนรูปลักษณ์โฉมใหม่มาล่อใจคุณตลอดเวลา อีกอย่างที่ช่วยคุณประหยัดได้คือ การเลือกโปรโมชั่นมือถือที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานของคุณมากที่สุด เดี๋ยวนี้โปรโมชั่นมีการปรับเปลี่ยนมีให้คุณเลือกได้มากขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องยึดกับโปรโมชั่นแบบเก่าๆ ที่ยังต้องจ่ายแพงอยู่
ลองปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นดู ให้เหมาะกับการใช้งานจริง หรือให้เข้ากับโปรโมชั่นในปัจจุบัน ที่มักลดราคาจนน่าใจหาย เช่น คุณใช้โปรโมชั่นโทร 1,000 บาท เหมาจ่าย 300 บาทมา 3 ปีแล้ว ทั้งที่ จริงคุณโทรไม่ถึง 1,000 บาทสักเดือน ปัจจุบันมีโปรโมชั่นใหม่โทร 500 บาทจ่าย 100 บาท ทางที่ดีคุณน่าจะปรับโปรโมชั่นมาเป็นอย่างหลังจะเหมาะกว่า อย่างน้อยก็ประหยัดเงินไปอีกนิด
Day 14. หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน น้ำมันแพงหูฉี่แบบนี้ ถ้ากระเป๋าสตางค์คุณยังเอื้ออำนวยให้ใช้รถ ใช้น้ำมันต่อไป ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าอยากให้สุขภาพทางการเงินดีขึ้น ลองหันมาปฏิวัติระบบการสัญจรของตัวเอง ด้วยการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนในบ้านเรา ซึ่งปัจจุบันก็มีความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน สะดวก ประหยัด แถมยังรวดเร็วอีกต่างหาก
Day 15. หยุดซื้อกะปริบกะปรอย-ตั้งลิมิตชอปปิง สำหรับประเด็นนี้ ฝ่ายชายคงไม่มีปัญหา แต่ฝ่ายหญิงนี่สิ โดยมากฝ่ายสาวจะมีวิญญาณนักช้อป อยู่ในตัวกันเป็นส่วนใหญ่จะช้อปจะจ่ายกันยังไงก็ขอให้นึกอยู่เสมอว่า สุขภาพทางการเงินอันฟิตปั๋งจะเกิดกับคุณไม่ได้เลย ถ้าหากคุณยังปล่อยให้วิญญาณนักช้อปปกคลุมจิตใจ ซื้อซ้ำซากซื้อกะปริบกะปรอย เชื่อเถอะว่าจะมีแต่บั่นทอนสุขภาพทางการเงินของคุณเปล่าๆ
ทางที่ดีถ้าคุณรู้ตัวเอง ว่าเป็นพวกช้อปกระจายซื้อได้ซื้อดี ตั้งลิมิตการช้อปในแต่ละเดือนของคุณเอาไว้เลย เช่นว่าในแต่ละเดือนคุณมีโควตาชอปปิงไม่เกินเดือนละ 10% ของรายได้ ไม่ว่าจะอยากได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ให้ขีดเส้นไว้เลย ถ้าถึงกรอบเมื่อไหร่ก็หยุด อยากได้อะไรค่อยไปช้อปเดือนถัดไปแบบนี้ รับรองสุขภาพการเงินฟิตเปรี๊ยะ
Day 16. ตัดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น เชื่อเถอะว่า ทุกวันนี้ในแต่ละเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ที่เอาเข้าจริงๆ แล้วตัดออกได้โดยที่ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันของคุณอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าทำผม ทำเล็บ ค่าล้างรถตามอู่ ค่าแม็กกาซีนรายปี ค่าฟิตเนส เป็นต้น แต่ละคนมีรายละเอียดของค่าใช้ที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ฉะนั้นใครจะตัดอะไร หรือมีอะไรที่ต้องตัด เจ้าตัวย่อมรู้ดีที่สุด
Day 17. โละของเก่าขาย อีกวิธีหนึ่งที่นอกจากช่วยคุณจัดระเบียบความเรียบร้อยในบ้านแล้ว ยังดูเหมือนเป็นการช่วยคุณหารายได้อีกทางหนึ่งด้วย ลองสำรวจข้าวของภายในบ้านดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกเข้าไปในห้องเก็บของ หรือตู้เสื้อผ้า คุณอาจจะพบว่ามีสมบัติที่คุณประโคมซื้อเอาไว้หลายอย่าง แต่หยิบมาใช้งานน้อยมาก หรือบางชิ้นแทบไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานเลยก็ว่าได้
หรือไม่ก็พวกกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้ากองพะเนิน ลองโกยออกมาวางขายดูบ้าง อันไหนไม่ใช้แล้วก็คัดออกมาขายจะดีกว่า มองหาตลาดนัดขายของมือสอง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีอยู่เกลื่อนกลาด วิธีนี้แหละนอกจากช่วยให้เงินคุณมีเงินออมขึ้นมาอีกไม่น้อย ลองดูสิ นอกจากได้เคลียร์ข้าวของภายในบ้านแล้ว คุณก็จะได้เงินออมเพิ่มขึ้นด้วย
Day 18. เที่ยวและสังสรรค์ให้พอดี มนุษย์ส่วนใหญ่มีวิธีผ่อนคลายในแบบของตัวเอง บ้างก็เที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวต่างประเทศ หรือไม่ก็สังสรรค์กับเพื่อนฝูงหลังเลิกงาน แต่แน่นอนเรื่องพวกนี้มีเหตุให้ต้องเสียเงินเสียทองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มักออกไปปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงาน และเดินทางท่องเที่ยว ฉะนั้น หากคิดถึงสุขภาพทางการเงินที่ดี ก็ควรเที่ยวและสังสรรค์ให้พอดี
Day 19 .ใจแข็งเข้าไว้ถ้าถูกยืมเงิน ไม่ได้บอกให้เห็นแก่ตัว เพราะการช่วยเหลือญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเป็นเรื่องดีและควรทำแต่ถ้าถูกยืมสตางค์กันบ่อยๆ คุณนั่นแหละคือ คนที่ต้องมานั่งแบกทุกข์ และนั่งปวดหัวเมื่อถูกเบี้ยวหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตัวคุณเองก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง หรือจัดการเรื่องเงินทองไม่ลงตัว ก็อย่าเพิ่งควักกระเป๋าให้ชาวบ้านยืม
เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่ถูกคนใกล้ตัวออกปากยืมสตางค์บ่อยๆ คุณต้องรู้จักปฏิเสธ ไม่ว่าจะแบบตรงไปตรงมาหรืออ้อมๆ ก็ต้องทำใจแข็งเข้าไว้ มีหลายคนที่สู้อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ประหยัดสุดขีด แต่สุขภาพทางการเงินย่ำแย่ ก็เพราะมัวแต่ไปให้คนอื่นยืมสตางค์
Day 20 .ทำอาหารกินเอง เรื่องที่ดูเหมือนใกล้ตัวที่สุด ที่ช่วยทำให้สุขภาพทางการเงินของคุณดีได้อย่างไม่ยาก คือ การลงมือทำอาหารกินกันเองที่บ้าน นอกจากจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนในครอบครัวอย่างอบอุ่นแล้ว คุณยังได้ประหยัดขึ้น ไม่ต้องไปจ่ายเงินสำหรับดินเนอร์มื้อแพงๆ
Day 21. บอกลาหนี้นอกระบบ คนเราเป็นหนี้กันได้ ต่อขอให้รู้ว่าหนี้อย่างหนึ่งที่คุณไม่ควรเอาตัวเข้าไปพัวพันด้วย นั่นคือ หนี้นอกระบบ เพราะดอกเบี้ยของหนี้นอกระบบแพงมาก สำหรับคนที่เป็นหนี้นอกระบบอยู่แล้ว ก็พยายามหาทางพาตัวเองเข้าสู่กระบวนการเป็นหนี้ในระบบให้ได้ เพราะดอกเบี้ยจะถูกกว่ากันเยอะ เช่น กู้พวกสินเชื่อบุคคลหรือกู้เงินด่วนจากแบงก์แทน ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นหนี้นอกระบบ อย่าเด็ดขาด อย่าหาทุกข์ใส่ตัวด้วยการกู้นอกระบบ การเดินเข้าสู่วงจรของหนี้นอกระบบ จะทำให้คุณก้าวพ้นจากวงจรแห่งหนี้ยากมาก หนี้นอกระบบจึงเหมือนมะเร็งร้ายที่คอยบั่นทอนสุขภาพทางการเงินคุณให้ย่ำแย่
Day 22.ปฏิเสธหนี้ที่มาทางสายโทรศัพท์ ยุคนี้ ไม่ต้องเดินไปกู้แบงก์ หนี้ก็พร้อมใจที่จะวิ่งเข้าหาคุณ โดยมาตามสายโทรศัพท์ ทั้งหนี้ประเภทเงินด่วนเงินไม่ด่วนมากันเนืองแน่น เผลอๆ ในหนึ่งสัปดาห์คุณอาจต้องรับสายโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินที่หยิบยื่นข้อเสนอการเป็นหนี้ให้คุณ ทั้งที่บางทีคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ฉะนั้น นอกจากรู้จักปฏิเสธให้คนอื่นกู้เงินแล้ว ต้องหัดปฏิเสธหนี้ที่มาทางสายโทรศัพท์ด้วย
Day 23. แยกแยะระหว่าง "ความจำเป็น" กับ "ความอยาก" ผู้ที่มีสุขภาพทางการเงินดีหลายคน นอกจากรู้จักใช้เงินให้เป็นแล้ว ส่วนหนึ่งพวกเขารู้จักแยกแยะระหว่างความจำเป็นกับความอยากออกจากกัน เมื่อจะตัดสินใจซื้อของชิ้นหนึ่ง คนพวกนี้จะต้องช่างน้ำหนักก่อน ว่าคุ้มค่าแค่ไหน เป็นของแค่อยากได้หรือเป็นของจำเป็น ถ้าเป็นของที่จำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว ก็ซื้อได้อย่างสบายใจและสบายกระเป๋าสตางค์
Day 24.กันเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คนเรามีอุบัติเหตุชีวิตกันเกือบทั้งนั้น ใครจะรู้ วันหนึ่งคุณอาจจะถูกบริษัทปลดออก หรือจู่ๆ บริษัทก็ปิดตัวลง แย่มากกว่านั้นคือ อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมากะทันหัน การเตรียมเงินสำรองเอาไว้ก้อนหนึ่งเพื่อรับมือกับเรื่องฉุกเฉิน จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
Day 25.สุขภาพกายและใจดี สุขภาพการเงินจะดีตาม อาจจะฟังดูงงนิดหน่อย แต่ถ้าคุณเริ่มจากคิด และมองโลกในแง่บวก ออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายก็จะแข็งแรงไม่เจ็บป่วยได้ง่าย นั่นเท่ากับว่า คุณก็อาจจะไม่ต้องเสียเงินไปกับการเยียวยารักษาพยาบาล บางคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็ทำให้สุขภาพกาย และใจอ่อนแอตามไปด้วย มาแนวนี้ต้องเตรียมเงินไว้เอาไว้รักษาร่างกายตัวเองด้วย
Day 26.อยู่ห่างจากชีวิตเงินผ่อน บางคนผ่อนโน่นผ่อนนี่จนติดเป็นนิสัย ผ่อนบ้านน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นของที่ควรจะยอมเป็นหนี้ แต่บางคนเล่นผ่อนไปซะทุกอย่าง เครื่องเสียง เครื่องดูดฝุ่น ทีวี เฟอร์นิเจอร์ ยังไม่พอ ยังเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ซึ่งแต่ละครั้งก็ต้องเริ่มต้นผ่อนใหม่ ในแต่ละเดือนแทนที่จะมีเงินเหลือเก็บเอาไว้ออม ก็ต้องเอาไปผ่อนของสารพัดอย่าง ถ้าอยากให้สุขภาพทางการเงินไม่ง่อนแง่น อยู่ห่างจากชีวิตเงินผ่อนเป็นดีที่สุด
Day 27.อย่าตกหลุมพรางของฟรี-ของแถม-ลุ้นรางวัล ข้อนี้ก็โดยมากเป็นผู้หญิงอีกนั่นแหละ ที่ตกหลุมพรางของฟรี และของแถมมากกว่าผู้ชาย เพราะของฟรี และของแถม มักเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อหรือจับจ่าย ในสิ่งที่มักจะไม่ได้คาดการณ์หรือวางแผนเอาไว้ก่อน นั่นเท่ากับว่า เป็นการจ่ายนอกเหนือความจำเป็น มีหลายคนที่ซื้อของยกโหล เพราะต้องการของแถม ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วของแถมนั้น ก็ไปนอนกองรวมกันอยู่ในห้องเก็บของ
หรือบางคนยอมซื้อข้าวของให้ได้ยอดตามที่ห้างกำหนด เพื่อที่จะได้ลุ้นชิงรางวัล ก็เลยต้องโหมซื้อของต่างๆ ทั้งที่จริงไม่ได้ต้องการหรือจำเป็นต้องใช้แต่อย่างใด สุดท้ายแล้วรางวัลที่หวังก็ไม่ได้ เงินก็เกลี้ยงกระเป๋าหรือไม่ก็ได้หนี้จากบัตรเครดิตเป็นของแถม
Day 28.หันมาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยมองข้าม ตัวอย่างของคนที่มีสุขภาพทางการเงินย่ำแย่ มักเป็นพวกที่ละเลยกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องไม่เล็กน้อยเลยทีเดียว หากปณิธานของคุณคือ อยากมีสุขภาพทางการเงินที่ดี จากนี้ไปลองหันมาใส่ใจกับเรื่องที่เคยมองข้าม เช่นทิ้งใบเสร็จรับเงินค่าประกันหลังจากที่จ่ายไปแล้ว ที่ดีคือ ควรจะเก็บไว้เผื่อว่าระบบมีปัญหาขึ้นมา จะได้เอาใบเสร็จนี้ยืนยันได้
หรือกรณีของหนังสือชี้ชวนที่หลายคนมักจะละเลย ไม่ยอมอ่านก่อนตัดสินใจลงทุน แต่เมื่อผลการดำเนินงานไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา คราวนี้จะโทษ บลจ.ก็ไม่ได้ ทางที่ดีอ่านก่อนลงทุน อีกกรณีหนึ่งคือ สเตทเมนท์บัตรเครดิตที่แบงก์ส่งมาให้ทุกเดือน ควรเก็บเอาไว้ตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้จ่าย ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของสเตทเมนท์บัตรเครดิต ยังช่วยตรวจสอบการใช้จ่ายด้วยว่า คุณรูดบัตรไปกับข้าวของประเภทไหนบ้าง บางทีสเตทเมนท์บัตรเครดิตอาจทำให้คุณพบว่า ในเดือนนี้คุณรูดบัตรซื้อรองเท้าไปแล้ว 3 คู่
Day 29.ใช้บัตรเครดิตแค่ใบเดียวพอ ทั้งหลายทั้งปวง เรื่องของบัตรเครดิต แค่ตีกรอบการใช้อย่างเดียวไม่พอ ทางที่ดีไปยกเลิกบัตรหลายๆ ใบที่ถือไว้ดีกว่า เหลือใช้แค่ใบเดียวก็เกินพอ เลือกบัตรที่คิดว่าใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ บางคนอาจจะบอกถือไว้หลายใบก็จริงแต่ใช้แค่ใบเดียวเท่านั้น แต่คุณรู้หรือไม่ ว่าการถือบัตรหลายใบอาจสร้างความยุ่งยากให้กับคุณได้เสมอ
เช่นถ้าใช้หลายใบคุณต้องจดและจำให้แม่น ว่าบัตรไหนชำระเมื่อไหร่ จะได้ไม่ผิดนัดชำระหนี้ หรือกรณีที่กระเป๋าสตางค์หาย บัตรหลายใบหายไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ เดือดร้อนคุณต้องโทรอายัดบัตรให้วุ่นวายไปหมด
Day 30.เรียนรู้เครื่องมือการออม-ลงทุนใหม่ๆ ตลอดเวลา สุขภาพทางการเงินของคุณจะดีวันดีคืน ถ้าคุณหัดเป็นคนที่เปิดหูเปิดตาเรียนรู้เครื่องมือการออม และช่องทางลงทุนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างที่รู้กันว่า พวกนวัตกรรมการออม และลงทุนมักไม่ค่อยหยุดนิ่งมีช่องทางใหม่ๆ ให้เราได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ ขยันอัพเดทเรื่องพวกนี้เข้าไว้ไม่เสียหายแน่นอน
Day 31.ต่อยอดเงินออมด้วยการลงทุน มาถึงตรงนี้ หวังว่าคุณคงพอจะมีเงินออมเก็บไว้ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นลองหาวิธีที่จะช่วยต่อยอดเงินออมของคุณด้วยการลงทุน หาวิธีที่จะทำให้เงินออมของคุณออกดอกออกผลมากที่สุด ช่องทางลงทุนมีมากมาย เลือกให้เหมาะกับคุณมากที่สุด เช่น ยังอายุน้อยรับความเสี่ยงได้เยอะ อยากได้ผลตอบแทนสูงก็ลองลงทุนในตลาดหุ้นดู
ค่อยๆ ลงมือทำทีละก้าว แต่ขอให้ทุกวันของคุณทำอย่างมุ่งมั่น เท่านี้ คุณก็เป็นเจ้าของสุขภาพทางการเงินดีๆ ได้
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก MSN THAILAND

วันจันทร์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

เศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน ตะโหมดยกพรุนายขาวเป็นต้นแบบ



เศรษฐกิจพอเพียง...ตามหลักปรัชญาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นข้อมูลหนึ่งที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยกขึ้นเอ่ยในการประชุม เวทีเศรษฐกิจโลก 2009 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งผู้นำหลายประเทศได้ให้ความสนใจ

ศาสตร์แห่ง แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ในบ้านเรามีการถ่ายทอดสู่สังคมเป็นวงกว้างแม้แต่สถาบันการศึกษา ก็มีการสอดแทรกเสริมความรู้เพื่อปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้เกิดความตระหนัก

อย่างเช่น โรงเรียนบ้านพรุนายขาว ตำบลคลองใหญ่ อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ซึ่งได้ดำเนินการตามแนวปรัชญาฯ จนประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมและได้รับรางวัลจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

อาจารย์เอก อัตตะ ผู้นำ โครงการเกษตรเพื่อชีวิตตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เข้ามาสู่โรงเรียนบ้านพรุนายขาว บอกว่า...ได้แนะนำและสอนให้นักเรียนทุกคน ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ แล้วเอาผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปไปขายนำรายได้ช่วยเหลือครอบครัว เพื่อ ปลูกฝังค่านิยมที่ดี ในการเรียนรู้ อาชีพการเกษตรพื้นฐาน และฝึกทักษะการปฏิบัติงาน ให้รู้จักหน้าที่รับผิดชอบ ตามรูปแบบของ ยุวเกษตรกร โดยนักเรียนทุก ช่วงชั้นการศึกษาต้องเข้ามามีส่วนร่วม

...เริ่มจาก ปลูกผักสวนครัว ซึ่งเป็นอาหารประจำวันของครอบครัว ให้นักเรียน ช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) แบ่งเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน โดยกลุ่มที่ 1-2 ช่วยกันปลูก สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ผักน้ำ บัวบก และ ต้นหอม ส่วนกลุ่ม 3-5 ปลูกมะเขือ พริกขี้หนู ตะไคร้ ข่า และ ขมิ้น นักเรียน ช่วงชั้นที่ 2 (ป.3-6) แบ่งนักเรียนเป็น 10 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คนเช่นเดิม กลุ่มที่ 1-2 ให้นำหน่อกล้วยมาคนละ 2 หน่อ แล้วปลูกภายในบริเวณรอบๆโรงเรียน หากตายลงก็นำมาปลูกเสริม กระทั่งออกผล ส่วนกลุ่มที่ 3-7 ให้ช่วยกัน ปลูกผักบุ้ง และ ผักกาด จำนวน 8 แปลง และกลุ่ม 8-10 ทำการเลี้ยงปลาดุก ในบ่อพลาสติก จำนวน 300 ตัว ทั้งยังผสมผสานด้วยการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ซึ่งดัดแปลงมาจากถังเก็บน้ำฝนเดิม (ประหยัดต้นทุน) อีก 4 บ่อ บ่อละ 100 ตัว

อาจารย์เอก อัตตะ บอกอีกว่า สำหรับนักเรียน ช่วงชั้นที่ 3 (ม.1-3) ซึ่งเป็นเด็กที่โตแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มกลุ่มละ 4 คน โดยกลุ่มที่ 1-2 ให้รับผิดชอบดูแล โรงเรือนเพาะเห็ด ที่บรรจุไว้จำนวน 200-300 ก้อน ในกลุ่มที่ 3-4 ให้ดูแล โรงเรือนเลี้ยงไก่ ที่มีขนาดกว้าง 9-15 เมตร มีไก่อยู่ 50 ตัว กลุ่มที่ 5 ใช้พื้นที่ว่าง สร้างบ่อกั้นพื้นที่เลี้ยงกบคอนโด จำนวน 80-140 ตัว กลุ่มที่ 6-8 ปลูกผักกูด จำนวน 2 แปลง โดยมีการเตรียมแปลงด้วยตนเอง ขุดหลุมตั้งเสาจำนวน 15 ต้น ใช้สแลนคลุมพื้นที่ นำผักกูดลงแปลงและติดตั้งสปริงเกอร์รดน้ำใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน จึงได้ผลผลิตเก็บไว้กิน ส่วนที่เหลือจึงออกวางจำหน่ายให้กับตลาดใกล้เคียง

และกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่ 9-10 ได้ดำเนินการแปรรูปผลผลิตที่ได้จากทุกๆกลุ่ม เช่น การนำกล้วยมาแปรรูปเป็น กล้วยตากแห้ง, กล้วยฉาบ, มันฉาบ, ผลิตน้ำยาล้างจาน, ทำยาดมพิมเสนน้ำ, สบู่ และน้ำยาสระผมสมุนไพร อีกทั้งยังหาผลผลิตที่ออกมาจากกลุ่มต่างๆเพื่อแปรรูปเป็นสินค้าอื่นๆ ฯลฯ

เด็กหญิงสราญจิตร พูลสวัสดิ์ ตัวแทนนักเรียนโรงเรียนบ้านพรุนายขาว เผยว่า รู้สึกภาคภูมิใจในผลผลิตของเราเป็นอย่างยิ่ง จากการดำเนินงานในโครง-การนี้ ทำให้ได้รับการคัดเลือกเป็น โรงเรียนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ของอำเภอตะโหมด สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาพัทลุง เขต 2 และได้รับการคัดเลือกจาก สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพัทลุง เป็น โรงเรียนแกนนำของ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง

ที่ประทับใจอย่างยิ่ง โดยที่ไม่มีวันลืมเลยในชีวิตนี้ คือ ได้เป็น ตัวแทนของโรงเรียนเข้ารับพระราชทานรางวัลฯ ในงาน ชุมนุมยุวเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินระดับประเทศ ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.


ขอขอบคุณ ข่าวเกษตร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่4 ก.พ. 52

จดกันจน

คุณรึเปล่า ที่ตลอดปีที่ผ่านมา ตั้งท่าว่าจะลงมือทำงบประมาณส่วนบุคคลมาแล้วหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดแผนนี้ก็ล่มไม่เป็นท่า เพราะมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง ถ้าอย่างนั้น ให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการผัดวันประกันพรุ่งเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันแรกของปี ขอให้คุณเริ่มต้นปีใหม่ ชีวิตใหม่ ด้วยการมีงบประมาณส่วนบุคคลเป็นของตัวเองเสียที
หลายคนบอกไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี บันทึกและจดอะไรบ้าง ไปจนถึงจัดหมวดหมู่อย่างไรดี เรื่องวันนี้ ขอหยิบแนวทางและวิธีการในการทำงบประมาณส่วนบุคคลฉบับคร่าวๆ มานำเสนอ เผื่อว่าจะเป็นแนวทางให้คุณได้ลงมือทำอย่างจริงจังสักที

*************
บอกลาความขัดสนทางการเงินไปได้เลย ถ้าคุณเริ่มมีงบประมาณส่วนบุคคลเป็นของตัวเอง ก็อย่างที่รู้กันว่าความสำคัญของการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล นั้นจะช่วยป้องกันการเกิดความขัดสนทางการเงินได้อย่างยอดเยี่ยม และไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานภาพไหน วัยไหน หรือเพศไหนก็ตาม คุณก็สามารถที่จะทำงบประมาณส่วนบุคคลได้ในแบบและสไตล์ของคุณ
เช่น ในกรณีที่คุณแต่งงานมีครอบครัวแล้ว การตัดสินใจจัดการกับรายได้ที่มีอยู่ ควรเป็นโครงการร่วมกันระหว่างคุณและคู่ชีวิต การจัดสรรรายจ่ายชนิดใดเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ควรคำนึงถึงรายจ่ายอื่นๆ ที่คุณจะต้องใช้จ่ายจากเงินรายได้ของคุณ และอธิบายถึงการเกิดรายจ่ายและการจัดการรายจ่ายนั้นๆ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อที่คุณจะได้จัดทำงบประมาณส่วนบุคคลของคุณทั้งคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
อาจจะแยกหรือทำงบรวมกันก็ได้ แต่ขอให้ทำอย่างมีวินัย ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นอีกคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการ "จดบัญชีรับจ่าย" มาแต่ไหนแต่ไร เรียกว่า ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจปีหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อแต่งงานมีครอบครัว เขาก็บอกกับภรรยาถึงประโยชน์ของการจดบันทึกรายรับรายจ่ายต่อการใช้ชีวิตคู่ เขายอมรับว่าข้อดีของการจด ทำให้เรารู้หมดว่ามีรายรับและรายจ่ายเท่าไหร่ ติดลบหรือไม่ ท้ายสุดทำให้สามารถวางแผนการเงินได้
แต่เหนืออื่นใด ไม่ว่าบัญชีรับจ่ายของคุณจะหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร แต่อย่างหนึ่งควรจะมี คือการกำหนดเงินสำรองรายจ่ายส่วนบุคคลขึ้นไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในจำนวนที่คุณและคู่ชีวิตเห็นว่าเหมาะสม โดยรายจ่ายจำนวนนี้เป็นรายจ่ายนอกเหนือจากรายจ่ายตามปกติ เพื่อที่ว่าคุณและคู่ชีวิตจะได้มีอิสระในการใช้จ่าย โดยไม่ต้องถูกบังคับให้มีการจัดการทางการเงินเฉพาะเพียงรายการที่กำหนดไว้ในงบประมาณเท่านั้น
แต่เมื่อลงมือทำแล้ว ก็ควรเก็บรักษาบันทึกทางการเงินทั้งส่วนที่เป็นรายได้ และส่วนที่เป็นรายจ่ายไว้เป็นอย่างดี เพราะรายการรายจ่ายบางรายการอาจเป็นรายการสำคัญ เช่น รายการการเสียภาษี ก็ควรมีการแยกรายการโดยแสดงรายละเอียดไว้ต่างหากโดยเฉพาะ หรือรายจ่ายที่ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน ควรมีการบันทึกไว้ให้ถูกต้อง เพราะการบันทึกรายการที่ผิดพลาดจะมีผลกระทบถึงการทำงบประมาณในปีต่อๆ ไปได้
@จัดหมวดหมู่แหล่งรายได้
ขั้นตอนแรกในกระบวนการทำงบประมาณส่วนบุคคล คือ การจัดหมวดหมู่ของแหล่งที่มาของรายได้เข้าไว้ด้วยกัน ตัวอย่าง การบันทึกแหล่งที่มาของรายได้ สามารถจัดทำเป็นตาราง แบ่งเป็นเงินเดือน โบนัส ค่าเช่า เงินปันผล หรือรายได้พิเศษอื่นๆ แยกอย่างชัดเจน
จะเห็นว่า แหล่งที่มาของรายได้โดยปกติ มักจะหนีไม่พ้นรายการต่อไปนี้ คือ รายได้จากการทำงานตามลักษณะอาชีพ หรืองานพิเศษนอกเหนือจากงานอาชีพประจำ รายได้จากดอกเบี้ยตามบัญชีเงินฝากประเภทต่างๆ ในธนาคาร รายได้เงินปันผล ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล เงินโบนัสประจำปี
ในทางปฏิบัติแล้วอาจมีรายได้ประเภทอื่นนอกเหนือจากรายการข้างต้นได้อีก อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ง่ายที่สุดในการจัดหมวดหมู่ของประเภทรายได้ก็คือ การทำบันทึกเป็นกระดาษทำการแนบไว้กับงบประมาณแสดงแหล่งที่มาของรายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนและเปรียบเทียบรายการรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จากนั้น ก็คำนวณผลรวมเฉพาะรายได้สุทธิที่ได้รับอยู่จริงเท่านั้น กล่าวคือ คุณอาจจะมีรายได้ตามบัญชีเงินเดือนเป็นเดือนละ 30,000 บาท แต่รายได้ที่ท่านได้รับจริงสุทธิเป็นเพียง 27,000 บาทเท่านั้น ส่วนแตกต่าง 3,000 บาทนี้เป็นรายจ่ายที่นายจ้างหักไว้เป็นค่าภาษี ค่าประกันสังคม ออมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ออมผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ของบริษัท ค่าเงินสวัสดิการต่างๆ ภายในสถานที่ทำงาน จำนวนรายได้ที่คุณจะใส่ไว้ในงบประมาณจะเป็นเพียงจำนวน 27,000 บาท ไม่ใช่เป็นจำนวน 30,000 บาท
คุณอาจไม่พอใจในการถูกหักเงินจำนวน 3,000 บาทนี้ไว้ เพราะทำให้มีเงินที่จะใช้จ่ายน้อยลง อย่างไรก็ตาม ถ้าหน่วยงานของคุณไม่มีนโนบายในการจัดหาสวัสดิการดังกล่าวข้างต้นไว้เพื่อความปลอดภัยทางการเงินแล้ว คุณก็ไม่ควรที่จะลืมกันเงินสำรองเพื่อการนี้ไว้ในงบประมาณของคุณเองด้วย เพราะรายจ่ายดังกล่าวจะเป็นรายจ่ายที่คุณไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้เลย
ถ้าไม่แน่ใจว่ารายได้ที่จะได้รับ เป็นจำนวนที่แน่นอนเท่าใดแล้ว ให้คุณลองประมาณวงเงินในจำนวนที่น้อยที่สุดที่คิดว่าจะได้รับไว้ก่อน เพื่อว่าเมื่อประมาณรายจ่ายเพียงภายในวงเงินรายได้ที่มีอยู่แล้ว ต่อมาในภายหลังที่ได้รับรายได้เพิ่มขึ้น จะทำให้คุณมีเงินคงเหลือเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาการทำงบประมาณเพิ่มขึ้น ก็ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะประมาณวงเงินที่คาดว่าจะได้รับไว้สูง ทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่ารายได้นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
@คำนวณตัวเลขรายได้จำนวนใหม่
เมื่อถึงรอบระยะเวลาการขึ้นเงินเดือนประจำปี เช่น ถ้าคุณเป็นข้าราชการจะได้รับการพิจารณาให้เลื่อนขั้นเงินเดือนในราวเดือนกรกฎาคม- สิงหาคม หรือพนักงานบริษัทอาจจะเป็นเดือนตุลาคม แต่เงินเดือนใหม่จะได้รับเมื่อสิ้นเดือนตุลาคม หรือหากทำงานในบริษัทเอกชนท่านอาจได้รับเงินเดือนใหม่ในระหว่างปีได้ถ้าท่านมีความดีความชอบพิเศษ
ในกรณีเช่นนี้ ก็จะมีรายจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การคำนวณรายได้ภายหลังการหักภาษีให้ถูกต้องและจัดการเพิ่มรายได้ไว้งบประมาณให้เรียบร้อย จะเป็นประโยชน์ในการจัดสรรรายจ่ายบางรายการให้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่รายการภาษีที่คุณคำนวณขึ้น อาจเป็นรายจ่ายที่ได้รับกลับคืนในภายหลัง ช่น รายการคืนภาษีเนื่องจากมีการคำนวณไว้ในระหว่างปีผิดพลาด การลงทุนที่มีสิทธิได้รับคืนภาษี การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของรัฐบาล ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวอาจไม่มีผลทำให้งบประมาณเปลี่ยนแปลงได้เท่าใดนัก แต่ก็ยังเป็นการดีกว่าที่จะมีรายการรายจ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดฝัน แม้ว่ารายจ่ายนั้นจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากก็ตาม
@ประมาณรายได้ต่ำที่สุด-รายจ่ายสูงไว้ก่อน
หลักเกณฑ์สำคัญในการทำงบประมาณ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดการทางการเงิน คือ การประมาณรายได้ไว้ในจำนวนที่ต่ำที่สุดที่คิดว่าควรจะเป็น และประมาณรายจ่ายไว้ค่อนข้างสูงภายในวงเงินรายได้ที่คุณมีอยู่ เพื่อที่ว่าเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จะได้สามารถแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินได้ดีกว่าการประมาณรายได้ไว้สูง หรือการประมาณรายจ่ายไว้ต่ำเกินไป จนไม่สามารถจะปรับงบประมาณของคุณได้เลย เมื่อมีความจำเป็นจะต้องมีรายจ่ายรายการใดรายการหนึ่งสูงกว่างบประมาณที่วางไว้
ยิ่งถ้าอาชีพของคุณก่อให้เกิดรายได้ที่ไม่แน่นอน เช่น นักแสดง นักเขียน นักมวย พนักงานขาย นายหน้า สถาปนิก ฯลฯ รายได้ของคุณจะได้รับไม่สม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนเหมือนพวกข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ เพราะแม้ว่าคุณจะทำงานเสร็จแล้ว แต่คุณก็ยังอาจจะไม่ได้รับเงินค่าจ้างทันที การทำงบประมาณรายจ่ายของคุณจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และจะต้องมีการประมาณที่ถูกต้อง โดยพิจารณาจากจำนวนผลงานที่เกิดขึ้นก่อนที่จะได้รับเงินค่าจ้าง และการประมาณรายได้ประจำเดือนกระทำได้โดยการหารรายได้ต่อปีที่ประมาณขึ้นด้วย 12 เพราะรายรับในแต่ละปีอาจแตกต่างกันได้ ขึ้นกับความสามารถและความมีชื่อเสียงของคุณเอง
@จดค่าใช้จ่าย
สำหรับในส่วนของค่าใช้จ่ายนั้น เพื่อที่จะควบคุมการใช้จ่ายให้เกิดความสมดุลขึ้น วิธีการที่ดีที่สุด คือ การจดว่ารายการรายจ่ายทั้งหมดของท่านมีรายการใดบ้าง และเป็นรายจ่ายประเภทใด จำนวนเท่าใด พร้อมทั้งจัดประเภทของรายจ่ายต่างๆ ไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มรายจ่ายประจำ กลุ่มรายจ่ายแปรได้หรือกลุ่มรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ เพราะรายจ่ายกลุ่มแปรได้จะเป็นรายจ่ายที่คุณควรให้ความสนใจมากกว่ารายจ่ายประเภทอื่น เนื่องจากสามารถเลื่อนกำหนดการใช้จ่ายไปได้มากกว่าการเป็นรายจ่ายประจำ หรือรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้
ภายหลังจากที่คุณได้แจกแจงและจัดกลุ่มประเภทรายจ่ายขึ้นแล้ว ขั้นต่อไปคือ การหาค่าร้อยละของรายจ่ายทุกรายการว่ารายจ่ายต่างๆ เหล่านั้นมีการใช้จ่ายคิดเป็นร้อยละเท่าใดของรายได้ที่มีอยู่ คุณควรตระหนักไว้เสมอว่าเมื่อท่านมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ควรกระทำต่อไปคือ การนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนทางใดทางหนึ่งที่จะทำให้มีผลตอบแทนมากขึ้นจากการลงทุนนั้นๆ
วิธีการที่ง่ายและดีที่สุดในการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล คือ การย้อนไปวิเคราะห์ถึงรายจ่ายที่เกิดขึ้นในปีก่อนๆ เพื่อดูถึงลักษณะนิสัยในการใช้จ่ายของคุณ เพราะรายการต่างๆเหล่านั้นจะบ่งบอกถึงรายจ่ายรายการหลักที่ควรจัดให้มีไว้ในงบประมาณได้เป็นอย่างดี
"อัจฉริยา สินรัชตานันท์" ดีเจและพิธีกรสาว เป็นอีกคนหนึ่งที่เริ่มจดบันทึกรายรับรายจ่ายในเอ็กเซลชีทมาตั้งแต่เรียนอยู่ต่างประเทศ นั่นจึงทำให้เห็นว่าเดือนนี้ค่าใช้จ่ายอะไรเยอะผิดปกติ เช่นช่วงหนาวค่าไฟก็จะแพง พอกลับมาเมืองไทยเลยติด จากตอนแรกจดแบบคร่าวๆ ทั่วไป แต่เราก็รู้สึกว่าเรามีพื้นฐานเรื่องบัญชี เราน่าจะทำเป็นกิจจะลักษณะ ก็เอารายได้มารวมกัน ค่าใช้จ่ายมารวมกันก็เลยกลายเป็นงบดุลย่อยๆ
ยังไม่หมดเท่านั้น แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายออกมาเป็นก้อนแล้ว อัจฉริยาบอกว่าเธอยังแยกให้เห็นว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไร เท่าไหร่ เพื่อที่จะได้รู้รายละเอียด จึงแบ่งเป็นหมวดๆ ไป เช่น หมวดเอ็นเตอร์เทนเมนท์ หมวดเบี้ยประกัน หมวดเสื้อผ้า หมวดเครื่องประดับ หมวดสปาและความงาม หมวดดูแลรถ หมวดเทคโนโลยี หมวดค่าดูแลบ้าน หมวดค่าทำบุญ หมวดซูเปอร์มาร์เก็ต เรียกว่าเรียงจาก A-Z จากนั้นก็เทียบออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์
"พอทำออกมาเราก็จะรู้ว่า อ๋อ เดือนนี้เราซื้อเสื้อผ้าเยอะไปแล้ว หรือค่าซูเปอร์มาร์เก็ตปูดไป เราก็จะระวังตรงนั้น ทำให้เราใช้จ่ายอย่างรู้ตัวตลอด"
@การทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ในรายการรายจ่ายประจำปี อาจแยกเป็นประเภทรายจ่ายได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ"รายจ่ายประจำ" ซึ่งเป็นรายจ่ายที่เป็นภาระผูกพันและมีรอบระยะเวลาการจ่ายสม่ำเสมอตลอดไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง และ"รายจ่ายแปรได้" ซึ่งจะเป็นรายจ่ายประเภทสำคัญ แต่จะเป็นรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยไม่คาดฝันหรือเป็นรายจ่ายที่ได้มีการตั้งงบประมาณไว้ว่า อาจจะมีการจ่ายเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งในอนาคต
เช่น รายจ่ายค่าบำรุงซ่อมแซมรถ รายจ่ายพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดประจำปี เงินบริจาคการกุศล รายจ่ายเพื่อซื้อทรัพย์สินทดแทน เช่น วิทยุ โทรทัศน์สีเครื่องใหม่ เป็นต้น รายจ่ายต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นรายจ่ายที่สามารถจะเลื่อนกำหนดการจ่ายออกไปได้ หรืออาจเป็นรายการที่ไม่ต้องมีการจ่ายเลยก็เป็นได้ ถ้าคุณยังไม่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องใช้จ่ายในเดือนหรือปีนั้นๆ และมีรายจ่ายรายการอื่นในงบประมาณที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นมากกว่าเกิดขึ้น
และ "รายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้" หมายถึง รายจ่ายที่มาสามารถจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการใช้จ่ายได้เลย ถึงแม้ว่ารายการเหล่านี้จะเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำก็ตาม แต่จำนวนเงินในแต่ละรอบระยะเวลามักเป็นจำนวนที่ไม่แน่นอน เช่น ในระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายนซึ่งเป็นฤดูร้อน รายจ่ายค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปามักจะมีจำนวนสูงกว่ารายการที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม ซึ่งเป็นฤดูหนาว หรือรายการค่าโทรศัพท์ในเดือนที่มีวันหยุดงานมากจะมีจำนวนสูงกว่ารายการที่มีวันหยุดงานน้อย
สำหรับคนไม่อยากคบหากับความขัดสน "จดกันจน" เข้าไว้ ปีใหม่ปีนี้จะได้ เป็นคนสุขภาพการเงินดีอีกคนหนึ่ง

วันเสาร์ที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

เศรษฐกิจพอเพียงกู้วิถีชีวิตแบบมาม่า

พูดถึงเศรษฐกิจแบบพอเพียง....แม้ คนส่วนใหญ่จะเห็นดีเห็นงามตามกระแส แต่ความหมายที่แท้จริงของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร?
คนส่วนใหญ่ที่เห็นดีเห็นงาม กลับนึกภาพได้แต่เพียง...ความพอมี พอกิน ไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องทะเยอทะยาน ไม่คิดรวย
แต่คนที่รู้ลึก รู้ซึ้งในเศรษฐกิจแบบพอเพียง อย่าง นายสงวน มงคลศรีพันเลิศ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาปศุสัตว์ ปี 2548 ผู้นำเกษตรกรบ้านเขากลม ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.พังงา กลับมองตรงกันข้าม
หลังจากนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิตมาตั้งแต่ปี 2540
นายสงวน พบว่า การขวนขวาย ความทะเยอทะยาน และทำให้ได้มากกว่าพอมีพอกิน ไม่ใช่การงอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือ ไม่ต่างจากเศรษฐกิจ แบบทุนนิยมแต่อย่างใด
จะมีความแตกต่างในหลักการสำคัญ...ตรงการขวนขวาย ความทะเยอทะยาน การทำมาหากินให้ได้มากกว่าพอมีพอกิน
จะต้องเกิดจากการพึ่งพาตนเองให้ได้เสียก่อน
“เศรษฐกิจพอเพียงจะบรรลุผลก็ต่อเมื่อเราจะต้องคิดเองเป็น ทำเองได้ และพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด เมื่อนั้นแหละรายได้ของเราจะพอกพูน หลักการนี้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอาชีพ ไม่ใช่เกษตรกรอย่างเดียว”
ที่ผ่านมา ชีวิตคนไทยคิดทำโน่นทำนี่แบบไม่พอเพียง คิดใหญ่คิดโตคิดรวยทางลัดแบบหวังพึ่งคนอื่น แถมยังคิดเองไม่เป็น คิดแต่ทำตามคนอื่น... ความสำเร็จจึงไม่เกิด
สิ่งที่เกิดตามมาก็คือหนี้สินรุงรัง
“ความจริงแล้วเกษตรกรไทย คนไทยนั้นมีความสามารถ มีองค์ความรู้ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพต่างๆมีมากมาย เพียงแต่เราลืม เราไม่เอาความรู้ ดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้ คิดเองไม่เป็น ทำตามที่คนอื่นคิดให้ทั้งนั้น”
ทำให้ชีวิตคนไทยไม่ต่างอะไรกับมาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
วิถีชีวิตแบบมาม่า ในความหมายของ นายสงวน คืออะไร?
ทำตามที่คนอื่นเขาขีดเส้นบอกให้ทำ...ทางการส่งเสริมสั่งให้ปลูก ให้ เลี้ยงอะไร ก็ทำตามเขา เขาบอกให้ใส่ปุ๋ยเคมีแล้วดีก็เชื่อเขา เลี้ยงสัตว์ต้องเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ อาหารเสริมแล้วจะดี ก็ควักเงินซื้อตามที่เขาบอก
ที่บ้านเขากลมนี่ก็เช่นกัน เดิมทีก็ใช้ชีวิตกึ่งสำเร็จรูปแบบมาม่า ผลสุดท้ายชีวิตที่ทำมามีแต่หนี้...ทำมาหากินเพื่อใช้หนี้เป็นหลัก
นายสุกิติ พรหมทอง ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร สาขากระบี่ เผยตัวเลขภาวะหนี้สินของเกษตรกรที่บ้านเขากลม ซึ่งมีทั้งสวนปาล์ม เลี้ยงทั้งแพะ อุตส่าห์ขยันทำมาหากิน พวกเขากลับมี รายได้ติดลบ
เฉลี่ยแล้วคนในหมู่บ้านนี้มีหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบตกครอบครัวละ 100,000 บาทต่อปี
สาเหตุมาจากมีค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนในการผลิตสูงมาก
เพราะปัจจัยในการผลิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย อาหารสัตว์ ยา สารเคมี ต้องพึ่งพาการซื้อหาจากพ่อค้ามากถึง 85%
สิ่งที่ไม่ต้องซื้อหามีอยู่อย่างเดียวนั่นคือ น้ำฝนจากฟ้า
ต้นทุนสูงไม่พอ ปาล์มน้ำมันที่ปลูกไว้ได้ผลผลิตออกมา เอาไปขายพ่อค้ายังกดราคารับซื้อเสียอีก
แต่พอเลิกวิถีชีวิตแบบมาม่า หันมายึดหลักเศรษฐกิจแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำริ...พึ่งพาตนเองเป็นหลัก คิดเองเป็น ทำเองได้
ปุ๋ยทำเอง อาหารสัตว์ทำเอง หลายอย่างก็เปลี่ยนไป
เริ่มจากการเลี้ยงแพะ...เลี้ยงแบบง่ายๆ เลี้ยงแบบปล่อยทุ่งให้กินหญ้า มองแบบผิวเผินไม่เห็นต้องใช้ความคิดอะไรเลย
“เลี้ยงแพะมีปัญหาไม่น้อย เลี้ยงแบบปล่อยทุ่งให้กินหญ้าตามมีตามเกิด ปัญหาอันดับแรก เลี้ยงไม่ดู ไม่แล ไม่เฝ้า แพะไปเหยียบย่ำ กิน ทำลายพืชผักของเพื่อนบ้าน เราก็จะมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนบ้าน
ปัญหาอันดับต่อมา หญ้ามีไม่พอให้แพะกิน เนื่องจากที่ดินมีจำนวนเท่าเดิม แต่จำนวนประชากรนั้นเพิ่มขึ้นทุกวัน พื้นที่ให้ หญ้าขึ้นมีน้อย ครั้นจะซื้อที่ดินมาปลูกหญ้าเลี้ยงแพะ ที่พังงา ทำเลดี ใกล้ทะเล เมืองท่องเที่ยว ราคาถูกสุดไร่ละ 8 แสนบาท เอามาปลูกเลี้ยงแพะไม่คุ้ม
อีกปัญหาที่มองข้ามไม่ได้ เรื่องแรงงาน เลี้ยงแพะปล่อยทุ่งต้องมีคนเฝ้า เสียเวลาทั้งวัน แทนที่จะมีเวลาว่างไปทำงานหารายได้อย่างอื่นมาเสริมก็ทำไม่ได้ คนเลี้ยงแพะเกิดไม่สบาย ให้คนอื่นไปทำแทน แพะหาย ต้อนกลับมาไม่ครบ”
นายสงวน ชี้ให้เห็นปัญหาง่ายๆของการจัดการเลี้ยงแพะ...ปัญหาสำคัญยิ่งยวดอันดับหนึ่ง หญ้ามีไม่เพียงพอให้แพะ
จะทำให้พอเพียงซื้ออาหารข้น อาหารเสริมมาเลี้ยงแพะ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ทำไปก็มีแต่หนี้
“จากการใช้ความรู้แบบพื้นๆ ชาวบ้านสังเกตเห็น แพะมักจะไปเล็มกินทางใบปาล์มอยู่เสมอ เพื่อแก้ปัญหาหญ้าไม่พอเพียง เราก็เอาทางใบปาล์มที่มีอยู่เต็มไปหมด และเป็นปัญหากับเจ้าของสวนที่จะต้องตัดและเอาไปทิ้ง มาทดลองสับให้แพะกิน
ปรากฏว่าแพะก็กินได้ ไม่มีปัญหา”
นี่เป็นการคิดเองเป็นขั้นที่ 1...ได้ทั้งอาหารสัตว์และได้ทั้งแก้ปัญหาไม่รู้จะเอาทางปาล์มไปทิ้งที่ไหน
คิดขั้นต่อไป...ผลผลิตปาล์มน้ำมัน เอาผลปาล์มไปขาย พ่อค้ามักจะกดราคา รับซื้อราคา กก.ละ 1.50-2 บาท ไม่ขายก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร จำใจต้องขายแบบขาดทุน
คิดเอาผลปาล์มมาทำอาหารแพะ บดสับผสมปนกับทางใบปาล์มสับ... คราวนี้อาหารแพะไม่ได้มีแต่ไฟเบอร์เท่านั้น
แพะยังได้ไขมัน ได้โปรตีนจากผลปาล์มอีกด้วย
ขวนขวายหาความรู้ คิดสูตรทำอาหารสัตว์จากปาล์มหมักแบบชีวภาพ ไม่ใส่สารเคมีขายได้ กก.ละ 8 บาท เพิ่มมูลค่าให้ปาล์มน้ำมัน...ได้ทั้งอาหารคุณภาพไว้เลี้ยงแพะเอง และขายให้เกษตรกรจากที่อื่น
ได้ทั้งลดต้นทุน และได้ทั้งเงินเพิ่มเข้ากระเป๋า
ได้อาหารแพะไม่ต้องเลี้ยงแบบปล่อยทุ่ง...เอามาเลี้ยงในคอก คนเลี้ยงมีเวลาว่างทำงานหารายได้อย่างอื่นเสริมได้อีก
ลูกหลานยังสามารถช่วยเลี้ยงได้ ก่อนไปโรงเรียนเทอาหารใส่ราง กลับจากโรงเรียนก็เทอาหารใส่ราง
เอามาเลี้ยงในคอก มีปัญหาแพะตัวผู้มักจะนอนคลุกเล่นปัสสาวะของแพะกันเอง แพะจะเหม็นสาบขายไม่ได้ราคา
ต้องคิดแก้ปัญหาอีกขั้น
เอาความรู้เศรษฐกิจพอเพียงมาใช้...เอาเศษอาหาร เศษผลไม้มาทำน้ำหมักชีวภาพ ทดลองใช้ราดรดคอก รวมทั้งผสมน้ำให้แพะดื่มกิน
ปรากฏว่าได้ผล...น้ำหมักชีวภาพใช้แก้ปัญหาแพะเหม็นสาบสางได้
แพะเลี้ยงในคอก ขี้แพะอยู่เป็นที่เป็นทาง กวาดเก็บมาผสมรวมกับเศษทางใบปาล์ม ทำเป็นปุ๋ยหมัก หวนคืนกลับไปใส่ต้นปาล์ม...ช่วยลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยได้อีก
คิดเอาสิ่งที่มีอยู่รอบตัวมาใช้ประโยชน์เพียงพอ คงไม่ต้องบอกว่า วันนี้คนที่บ้านเขากลมเป็นอยู่กันยังไง แฮปปี้แค่ไหน
หวนคืนสู่วิถีดั้งเดิม แต่ไม่ใช่แบบเดิม...เพียงแค่ลดการพึ่งพาสินค้าของนายทุนให้น้อยลงเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจพอเพียง นายสงวน ย้ำว่า การคิดเอง ทำเองได้ พึ่งตัวเองให้มากที่สุด ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป...อย่าทำอะไรหวือหวา
เห็นว่าตัวเองคิดได้ ทำเป็น ก็อย่าทุ่มทำให้มากจนเกินไป เพราะการผลิตคิดทำเกินความพอเพียง เกินความต้องการของตลาด
สุดท้ายความหวือหวาเกินความพอเพียง จะหันมาทำร้ายให้คุณเป็นหนี้ล้นพ้นเหมือนเดิม
รวยแบบค่อยเป็นค่อยไป...ปลอดภัยกว่าหวังรวยเล่นหวย เล่นหุ้น.

เรื่องของฝรั่งคนหนึ่งที่คนไทยเรียกเขาว่าฝรั่งขี้นก

เรื่องของฝรั่งคนหนึ่งที่คนไทยเรียกเขาว่าฝรั่งขี้นกชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpoolปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London Universityภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน
------------------------------------------------------------------------
ผมเป็นชาวอังกฤษเกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอกเป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐กว่าคนแม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลินผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละตินครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่นผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณอังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนางและ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้วแต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้านเขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูงเป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดีเพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่งสอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วยไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว
ปฏิวัติค่านิยมเก่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุขไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆเมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือแต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย
หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้างแบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปีช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับแต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเองว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ยทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ยท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง
ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงินคุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง? มี่กี่คัน? คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน? ลูกของคุณเรียนที่ไหน?เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง? จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอนแต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไรแต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่นซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อนเดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิดได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกายแล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย
ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมากเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มากคนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้านถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมืองเป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วยเพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกินจะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่
พ่อแม่และผมถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย? ผมคิดว่าไม่ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่างเขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่งมีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะแต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงานตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูกวันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียวไม่ให้ใครรบกวนพ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมียสมัยที่ผมอายุสิบสามขวบผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่งเห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอดคิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วยผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้วแม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย
แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยวผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อนเช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลียคิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษแต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย
ผมไม่ใช่ครูฝรั่งสมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำอาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้วผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคนเป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริงฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครูเอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะแล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลยความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียวและบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสพูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทยก็แปลกดีเหมือนกันเขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิตเราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่าผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไปแต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็นเอาเงินให้ผมเฉยๆผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะเงินไม่ทำให้ผมมีความสุขผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้นทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอกผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุขมีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไทผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียวทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือนชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงินแต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปเที่ยว ไปกินเหล้าไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไรเพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข
หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวังไว้ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูกผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหามีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอกเมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วยจะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มากจะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียวจึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมืองไปอยู่บ้านนอกแฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่นช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยายเห็นว่า เป็นธรรมชาติดี
ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียวพวกขุนนางยึดหมด คนยากจน จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรกแออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม มีเงินเยอะแต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุดที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆเป็นพวกขุนนางใหญ่โตมันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคนมีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มีพ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมากสะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อมันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอกคนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอกเขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบากบ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต
ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆคนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัวทำให้มีคนจนเยอะถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้นจากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทยชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ
แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิตผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษเขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบากต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิมวันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ...เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อนแต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้าทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกรไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุขที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย
บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาดถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอกแมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงินขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวันเมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้านฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร
นิยามความรวยกับความจนมันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สินคนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงินเนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สินแต่คนรวยยืมเงินได้คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ?
ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นกฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไงผมบอกว่า๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคาชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผมไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับมันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียวแต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญเป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านายเพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อนซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วยเรื่องเกษตรผมทำไม่เก่งแต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยางปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปีตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็นเป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดีแสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวันแต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆอยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจนเพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว
วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเราคือ๑.ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ๒.ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวันชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำคือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็นผมคิดว่าคนชนบทจริงๆใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงานผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุดคืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วยกินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวันเมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอกเพราะว่าสะอาดจ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัดสำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะเดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอกเขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก
คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่นเอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกันความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน บ้านคนละหลังครอบครัวคนละหลังไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้
ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงินไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆแต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดีไม่มียาเสพติดไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยาไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่นลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขามีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)
แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอกครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่าเป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้นฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อนมันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจแต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆเรื่องเรียนไม่สำคัญหรอกสำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิตผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่
วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮาผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่งสอนภาษาอังกฤษเขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็กปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีกแต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้เขายังไม่บอกผมเลยผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัวทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร?
สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิตภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ที่ไม่เป็น ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้าเอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษจะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขาเขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย
ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษาคนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสานไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอกไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมากคิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้๔.ไปอยู่ในเมือง๕.ไปรับจ้างเขา๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท
เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วยผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัยที่จะช่วยให้เขาได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่าลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงินถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะเพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียนเพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า
จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทยผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงินไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมากแต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย
ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผมอันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมากแสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดินใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่
คนไทยโชคดีมากๆที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวงแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวงพระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียงแต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวงแต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูดเราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด ของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียงที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทยพวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วยและเรื่องที่ ๓เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทยไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระแค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียงธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
อยากบอกอะไรคนไทยคุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใครไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมากอย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆคนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัวมีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มีศาสนาพุทธ ที่ดีมากทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไปคือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิตชีวิตมันก็ง่ายพยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบากพยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป......
ขอบคุณฟอร์เวิร์ดเมล์(ได้มานานแล้วมาก)

วันศุกร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

เศรษฐกิจแบบพอเพียง


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้
"….ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคลหรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้…"
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพี่งพา ยึดติดอยู่กับกระแสจากภายนอกมากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ
ในทางปฏิบัติจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และทั้งที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงกับตัวเอง ทำให้อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน มีสิ่งจำเป็นที่ทำได้โดยตัวเองไม่ต้องแข่งขันกับใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อันนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเป็นสินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความร่วมมือ วิธีการเช่นนี้จะดึงศักยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว ซึ่งมีความผู้พันกับ “จิตวิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”
ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะจัดลำดับความสำคัญของ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่านั้นขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงิน ที่เน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่จำกัดซึ่งไร้ขอบเขต ถ้าไม่สามารถควบคุมได้การใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างจะรวดเร็วขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทุกข์ และจะไม่มีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริโภค ที่จะก่อให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผู้บริโภคต้องใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความต้องการที่ไม่จำกัดได้ และสามารถจะลดความต้องการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสุขเท่ากับได้ตระหนักในเรื่อง “คุณค่า” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวิธีทำลายทรัพยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจัดสรรสิ่งที่เป็น “ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และขจัดความสำคัญของ “เงิน” ในรูปรายได้ที่เป็นตัวกำหนดการบริโภคลงได้ระดับหนึ่ง แล้วยังเป็นตัวแปรที่ไปลดภาระของกลไกของตลาดและการพึ่งพิงกลไกของตลาด ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่สามารถจะควบคุมได้ รวมทั้งได้มีส่วนในการป้องกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบริโภคเกิน (Over Consumption) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน
การบริโภคที่ฉลาดดังกล่าวจะช่วยป้องกันการขาดแคลน แม้จะไม่ร่ำรวยรวดเร็ว แต่ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามทุกข์ภัยก็ไม่ขาดแคลน และสามารถจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมีพอกินจะสามารถอุ้มชูตัวได้ ทำให้เกิดความเข้มแข็ง และความพอเพียงนั้นไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ระหว่างหมู่บ้าน เมือง และแม้กระทั่งระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือการบริโภคนั้นจะทำให้เกิดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระบบ รักธรรมชาติ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องทิ้งถิ่นไปหางานทำ เพื่อหารายได้มาเพื่อการบริโภคที่ไม่เพียงพอ
ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยังมีพอสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรที่ดี โดยยึด " คุณค่า " มากกว่า " มูลค่า " ยึดความสัมพันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความต้องการที่ไม่จำกัดลงมาให้ได้ตามหลักขาดทุนเพื่อกำไร และอาศัยความร่วมมือเพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็งอันเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสังคม
การผลิตจะเสียค่าใช้จ่ายลดลงถ้ารู้จักนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแต่ง ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งสรุปเป็นคำพูดที่เหมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ ที่ว่า “…ทรงปลูกแผ่นดิน ปลูกความสุข ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลิตนั้นจะต้องทำด้วยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้องคิดถึงปัจจัยที่มีและประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างเช่นบางคนมีโอกาสทำโครงการแต่ไม่ได้คำนึงว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ครบ ปัจจัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักรที่สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือวัตถุดิบ ถ้าไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนวัตถุดิบแก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรก็จะไม่ผลิต ยิ่งถ้าใช้วัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานั้น เป็นวัตถุดิบที่จะต้องนำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะยิ่งยาก เพราะว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นราคายิ่งแพง บางปีวัตถุดิบมีบริบูรณ์ ราคาอาจจะต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของที่ผลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกัน เพราะมีมากจึงทำให้ราคาตก หรือกรณีใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดีว่าเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลผลิตที่เพิ่มนั้นจะล้นตลาด ขายได้ในราคาที่ลดลง ทำให้ขาดทุน ต้องเป็นหนี้สิน
การผลิตตามทฤษฎีใหม่สามารถเป็นต้นแบบการคิดในการผลิตที่ดีได้ ดังนี้
1. การผลิตนั้นมุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว เพื่อให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่าย 2. การผลิตต้องอาศัยปัจจัยในการผลิต ซึ่งจะต้องเตรียมให้พร้อม เช่น การเกษตรต้องมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่งน้ำ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการผลิต และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ 3. ปัจจัยประกอบอื่น ๆ ที่จะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชื่อมโยง (Linkage) ที่จะไปเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการผลิต จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้ง เกษตรกร ธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการค้า และให้ดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วยกันได้
การผลิตจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” การผลิตนั้นต้องยึดมั่นในเรื่องของ “คุณค่า” ให้มากกว่า “มูลค่า” ดังพระราชดำรัส ซึ่งได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่ว่า
“…บารมีนั้น คือ ทำความดี เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินให้มากเราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะต้องทุนแต่ถ้าเราใช้มากเกิดไป หรือเราไม่ระวัง เรากิน เข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบัญชีเขาก็ต้องเอาเรื่อง ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอย่าไปเบิกเกินบารมีที่บ้านเมือง ที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกินไป เราต้องทำบ้าง หรือเพิ่มพูนให้ประเทศของเราปกติมีอนาคตที่มั่นคง บรรพบุรุษของเราแต่โบราณกาล ได้สร้างบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยนี้ที่เรากำลังเสียขวัญ กลัว จะได้ไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่รักษาไว้…”
การจัดสรรทรัพยากรมาใช้เพื่อการผลิตที่คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายทั้งทุนสังคมและทุนเศรษฐกิจ นอกจากนี้จะต้องไม่ติดตำรา สร้างความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ มองกาลไกลและมีระบบสนับสนุนที่เป็นไปได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ
ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การ ตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ได้แก่
“….ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกัน ทำได้….”
ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟัง โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็จะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอย่างละเอียด เป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชาชนทั้งประเทศ
ในประการต่อมา ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วนของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง ที่ว่า “….ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลา เป็นงานที่มีผู้ดำเนินมาก่อนแล้ว ท่านเป็นผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้ แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องค่อยพยายามแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร….”
ในขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งในบางกรณีหากมีการทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้น ได้มีการค้นคว้าหาความเหมาะสมและความเป็นไปได้จนทั่วทั้งประเทศว่าดียิ่งจึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น
ขั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่ม เพาะ และมีการทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่น ๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้น แนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร
แนวพระราชดำริทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา ตรากตรำพระวรกาย เพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรยั่งยืนนาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลามากกว่า 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นสมควรอย่งยิ่งที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามที่ทรงแนะนำ สั่งสอน อบรมและวางแนวทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนเช่นกัน โดยการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขึ้นตอนต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตาหลักวิชาการ เพื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ จะก่อให้เกิดความยั่งยืนและจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และสังคม สุดท้ายเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน
ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง
1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป 2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล) 3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด
" การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "
"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"

เตือนคนไทยยึดหลักพอเพียง

เตือนคนไทยยึดหลักพอเพียง หนุนเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน
นายจรัลธาดา กรรณสูต ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่า ปัญหาภาวะวิกฤติทางด้านการเงินและเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นทำให้ภาคอุตสาหกรรมลดกำลังการผลิตสินค้าลง ส่งผลให้มีการเลิกจ้างงาน สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ จึงวางแผนรองรับ โดยการขยายส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์เครือข่ายปราชญ์ ชาวบ้านทั่วประเทศ ให้ร่วมดำเนินกิจกรรมจัดฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาการเกษตรแก่เกษตรกรในโครงการพัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งดำเนินการตั้งแต่ปี 2550 เพื่อน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเผยแพร่ให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจและสามารถมาประยุกต์ ใช้ในการประกอบอาชีพได้

“ศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านใน 27 จังหวัด มีอยู่จำนวน 40 ศูนย์เข้าร่วมโครงการสามารถฝึกอบรมเกษตรกรได้จำนวน 22,943 ราย ปี 2551 มีศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านเข้าร่วมโครงการเพิ่มเป็น 154 ศูนย์ครอบคลุมทั่วประเทศ สามารถฝึกอบรมเกษตรกรได้เพิ่มขึ้นเป็น 77,562 ราย สำหรับปี 2552 มีศูนย์เครือข่ายเข้าร่วมโครงการเพิ่มเป็น 186 ศูนย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการฝึกอบรมและคาดว่าจะสามารถฝึกอบรมเกษตรกรได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้” นายจรัลธาดากล่าว

ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวด้วยว่า ศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านที่สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯส่งเสริมและสนับสนุนจะคัดเลือกเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการทำอาชีพการเกษตรและได้รับการยอมรับจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งถือเป็นบุคคลที่เป็นต้นแบบของสังคม โดยถ่ายทอดสิ่งดังกล่าวสู่บุคคลอื่นเพื่อการพัฒนาสร้างสรรค์สังคมที่ร่มเย็นภายใต้การดำเนินการพัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนำไปสู่การแก้ปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน.
ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่29 ม.ค. 52