วันพุธที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ลุงเต่า เป็ดย่าง-หมูแดง-หมูกรอบ แก่งคอย

ตำนานอาชีพ

พันธ์ ทรงประเสริฐ

ชีวิตต้องสู้ของ ลุงเต่า เป็ดย่าง-หมูแดง-หมูกรอบ แก่งคอย

ผม เขียนตำนานอาชีพฉบับนี้ด้วยความชื่นชมและยินดีกับเจ้าของเรื่องราวเป็นอัน มาก เพราะว่าเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าใครได้อ่านหรือได้ไปพบปะหน้าตาของลุงเต่า เจ้าของร้านขายข้าวหน้าเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ เจ้าอร่อยของเมืองแก่งคอย ที่เอาชนะอุปสรรคนานาชนิด

ด้วยรูปร่างและหน้าตาของลุงเต่าที่ ผิดแปลกไปจากชายไทยแบบธรรมดา ความผิดแปลกหรือความเป็นข้อด้อยในรูปร่าง ไม่ได้ทำให้ลุงเต่าท้อถอยหรือย่นย่อต่อชะตาชีวิตที่ไม่สามารถเลือกเกิดได้ ลุงเต่าเอาชนะอุปสรรคนานาชนิดด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง จนสามารถยืนหยัดสู้ชีวิตมาล้างภาพพจน์ของตัวเองจนก้าวขึ้นสู่ทำเนียบนักสู้ อย่างทรนง

ท่านที่เคารพครับ ผมกำลังนำท่านให้รู้จักกับ ชายร่างเตี้ยแคระที่มีชื่อว่า ลุงเต่า แห่งอำเภอแก่งคอย ที่ประกอบอาชีพขายข้าวหน้าเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ที่ใครๆ ต่างยกย่องว่าอร่อยมาก แม้ว่าบางครั้งจะต้องทนหิวเพื่อรอเวลาให้ลุงเต่ามาเปิดร้านเร็วๆ แต่ทุกคนก็มีใจที่จะรอการมาปรากฏตัวของลุงเต่า นั่นหมายถึงว่าได้เวลาอร่อยแล้ว เตรียมตัวลุยได้เลย

ผมเดินทางมาที่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ตามกำหนดการเดิมคือจะไปทำธุระที่จังหวัดลพบุรี และหาโอกาสแวะเยี่ยมลูกศิษย์ที่เปิดร้านสเต๊กมาได้ 3 ปีเศษ คือ ร้านสเต๊กมือถือ หรือที่รู้จักกันในนาม สเต๊กเจ๊ดาโฟนช็อป ที่ทำร้านขายสเต๊ก 39 บาท ควบคู่ไปกับธุรกิจหลักคือ ขายโทรศัพท์มือถือ เป็นที่รู้จักของคนแก่งคอยเป็นอย่างดี

ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน เจ๊ดา หรือชื่อจริงคือ คุณธัญญลักษณ์ ตระกูลพิบูลย์ชัย ได้พาผมไปรับประทานอาหารกลางวัน แถมยังทราบมาว่าผมชอบเขียนถึงเรื่องราวร้านอาหารที่อร่อยและมีความเป็นมาที่ น่าสนใจ จึงพาผมไปที่ร้านลุงเต่า อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟแก่งคอย

คณะ ของผมใช้เวลานั่งรอเพื่อสรรหาความอร่อยอย่างน่าหงุดหงิด รวมไปถึงบรรดาลูกค้าจำนวนมากเขาก็กำลังรอเจ้าของร้าน รวมทั้งผมใช้เวลารอคอยเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งธรรมดาแล้วกำหนดเวลาเปิดร้านจะอยู่ที่ประมาณ 09.30-10.00 น. ทุกวัน แต่วันนี้กลับสายโด่งเกือบจะเที่ยงแล้ว ลุงเต่ายังไม่ปรากฏกายเลย เพราะว่ามีรายการสั่งอาหารกล่องประมาณ 100 กล่อง เป็นข้าวหน้าเป็ดแบบรวมมิตร เลยต้องจัดการให้ลูกค้าที่สั่งจนครบถ้วนเรียบร้อยจึงสามารถออกมาเปิดร้านขาย ที่ร้านได้ตามปกติ

ลูกค้าหลายคนรวมทั้งคณะของผมเริ่มมีสีหน้ายิ้มออก เพราะเสียงตะโกนของบรรดาวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านลุงเต่า ให้พรรคพวกชาววินเตรียมตัว เพราะต้องช่วยขนของอุปกรณ์การขายให้กับลุงเต่าเป็นประจำทุกวัน

ลุง เต่ามาพร้อมรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง บรรทุกสัมภาระมาเต็มคันรถ มีภรรยานั่งซ้อนท้าย พร้อมด้วยลูกสาวที่ขับมอเตอร์ไซค์อีกคันไล่หลังตามกันมา

ลุงเต่าจัด แจงเตรียมอุปกรณ์การขายและสั่งการให้ภรรยาและลูกสาว จัดการรับคำสั่งจากลูกค้า และบรรดาชาววินมอเตอร์ไซค์ก็รีบช่วยจัดวางพวกที่จะทำขาย เช่น หมูย่าง หมูแดง และเป็ดย่าง และบรรดาสัมภาระที่เกี่ยวข้องกับการขายให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

ลุง เต่าเป็นคนเตี้ยแคระ แต่ก็ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และคล่องแคล่วมาก พูดเสียงดังฟังชัดเจน สังเกตจากการสับเป็ดหั่นหมูลงจานข้าวที่ลูกสาวและภรรยาตักเตรียมพร้อมไว้ อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

อาหารทุกจานมีปริมาณที่เหมาะสมกับราคาที่ จัดว่า ถูกกว่าราคาในเมืองใหญ่ๆ ลุงเต่าให้ปริมาณที่มากกว่าบรรดาร้านขายข้าวหน้าเป็ดโดยทั่วไปเกือบเท่าตัว

ผม สังเกตหน้าตาของบรรดาลูกค้าที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เห็นสีหน้าแสดงออกถึงความสุขใจที่ได้มาชิมอาหารของลุงเต่า สมกับการรอคอย รวมถึงคณะของผม ต่างก็ชื่นชมกับรสชาติของเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ทุกเมนูหมดเกลี้ยงไปชั่วพริบตา ผมขอรับประกันได้ว่า ใครที่ได้มาชิมข้าวหน้าเป็ดของลุงเต่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน รสชาติเข้มข้นเหมือนอาหารจีนแบบกวางตุ้งอย่างแท้จริง

ผมนั่งรอเวลา เพื่อให้ลุงเต่าว่างเพื่อที่จะขอสัมภาษณ์และขอถ่ายรูป ลุงเต่าก็ใจดี อนุญาตให้สัมภาษณ์ได้ แต่หากจะรอให้ว่างเห็นท่าจะไม่มีโอกาส เลยต้องสัมภาษณ์ทางเทปไปและสับเป็ดสับหมูพร้อมๆ กันไป ก็ได้ใจความที่เป็นรายละเอียดพอประมาณ

ลุงเต่ามีชื่อจริงว่า คุณสมจิตร ม่วงน้อย ปัจจุบันอายุ 52 ปี เป็นคนจังหวัดปทุมธานี โดยกำเนิด อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีอาชีพทำสวน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ โตขึ้นมาหน่อยก็ชอบเที่ยวเตร่เร่ร่อนไปตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งเข้าวัยหนุ่มก็มาอยู่ที่ย่านสถานีรถไฟสามเสน สมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานยกหนังสือพิมพ์ของไทยรัฐ ซึ่งในสมัยก่อนเขาจัดส่งหนังสือพิมพ์ไปยังต่างจังหวัดทางรถไฟขบวนช่างเย็นๆ ส่วนเวลาว่างก็ไปสมัครล้างจานที่ขายอาหารประเภทข้าวหน้าเป็ด หมูกรอบ หมูแดง ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟสามเสน

เริ่มแรกก็ไม่ได้ ตั้งใจจะไปสมัครงาน แต่เพราะว่าเกิดไปติดสาวน้อยนางหนึ่งที่ทำงานในร้านอาหาร ก็เลยอยากจะใกล้ชิดจึงขอสมัครไปทำงานเพื่อจะได้จีบมาเป็นแฟน ลุงเต่าเป็นคนสนใจงาน เห็นเขาปิ้งย่างเป็ด หมูกรอบ หมูแดง ก็เลยใช้วิธีเข้าไปดูเขาทำกัน แบบครูพักลักจำ

ช่วงระยะเวลา 1 ปีเท่านั้น ลุงเต่าก็เก็บเกี่ยวเอาความรู้ที่ได้เห็นมาและประสบการณ์ที่ได้เป็นลูกมือ เขามาบ้าง รวมไปถึงรางวัลชีวิตชิ้นใหญ่คือ ได้แฟนมาด้วย 1 คน คบหากันจนตกลงใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา

ลุงเต่าตัดสินใจเดินทางไป ที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเดิมของภรรยา ยึดอาชีพเป็นกรรมกรรับจ้างงานทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างเตี้ยเล็ก แต่ลุงเต่าก็ไม่ท้อถอย ทำงานแบกหามได้ทุกชนิด

อยู่บ้านภรรยาที่จังหวัดสุรินทร์ได้ประมาณ ปีเศษๆ ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่แก่งคอย เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่เป็นนายสถานี และที่แก่งคอยนี้ ลุงเต่าเริ่มมีความคิดที่จะค้าขายแบบเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน โดยมีภรรยาเป็นผู้ช่วย เพราะหากว่ายังยึดอาชีพเป็นกรรมกรรับจ้างงานทั่วไป อนาคตคงจะไม่รุ่ง ครั้นจะไปสมัครทำงานตามร้านทั่วไป นายจ้างก็ไม่ค่อยจะมั่นใจในความสามารถของลุงเต่าว่าจะทำได้สักแค่ไหน สุดท้ายมาลงเอยที่จะเปิดร้านขายข้าวหน้าเป็ดย่างและหมูแดงหมูกรอบเป็นของตัว เอง

ลุงเต่า เล่าให้ฟังว่า เริ่มต้นขายอาหารเป็นของตัวเองในช่วงปี 2525 เพราะคิดแล้วดีกว่าไปทำงานอื่น ความรู้ที่ได้มาจากเป็นลูกน้องเขามาก่อน และจำเทคนิคต่างๆ ที่ได้เห็นมา มีความมั่นใจว่าตัวเองทำได้แน่นอน จึงลงมือเปิดขายทันที

เริ่มแรกที่ เปิดร้าน ลุงเต่า เล่าให้ฟังว่า ยังขายไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเป็นต่างจังหวัด ความนิยมที่จะรับประทานเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ยังไม่แพร่หลาย และเป็นอำเภอเล็กๆ คนยังน้อย แต่ลุงเต่าก็ไม่ท้อถอย ขายมากขายน้อยก็อดทน คิดว่าสักวันหนึ่งชีวิตจะดีขึ้นและประสบความสำเร็จแน่นอน

ลุงเต่า เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า กว่าที่จะมีลูกค้าที่มาช่วยกันอุดหนุนหนาแน่นแบบทุกวันนี้ ต้องใช้เวลาหลายปี อาศัยที่มีความอดทนสูง มีจิตใจอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ค้าขายแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ขายไม่แพง และให้คุณภาพควบคู่กับปริมาณที่เหมาะสม ลูกค้าจึงให้การยอมรับในรสชาติความอร่อย และส่วนใหญ่เป็นคนในท้องที่ รู้จักคบค้ากันมาก่อน เขาคงจะทราบว่า เป็นคนทำมาค้าขายอย่างจริงจัง จึงให้การสนับสนุนมาตลอด ช่วยกันบอกกล่าวโฆษณาปากต่อปากจนใครๆ ที่มาอำเภอแก่งคอย ต้องแวะมาอุดหนุนอาหารของลุงเต่า บางครั้งก็มีรายการวิทยุโทรทัศน์มาถ่ายทำเรื่องราวของลุงเต่า รวมถึงหนังสือพิมพ์มาสัมภาษณ์ ก็เลยดังใหญ่ ใครๆ ก็อยากมาดูตัวจริงของลุงเต่า

ลุงเต่าใช้เป็ดปักกิ่งตัวโตมาย่าง ซึ่งลุงเต่า บอกว่า เป็ดปักกิ่งตัวโต เนื้อเยอะ ไม่เหนียว ส่วนหมูแดง หมูกรอบ ใช้หมูมาย่างในถังน้ำมันตามแบบฉบับของร้านอาหารดังๆ ในกรุงเทพฯ ในสไตล์แบบจีนกวางตุ้ง เริ่มย่างตั้งแต่เช้ามืด พอสายหน่อยก็เตรียมตัวออกมาจัดร้านที่เขาแบ่งให้เช่าหน้าร้าน อยู่กันมาได้ 27 ปี เข้าให้แล้ว

ลุงเต่าจะมาเปิดร้านประมาณ 09.30-10.30 น. ทุกวัน นอกเหนือจากหากมีลูกค้าสั่งจองข้าวกล่อง ประมาณว่า 100 กล่อง ก็ต้องออกสายสักหน่อย เพราะต้องจัดเตรียมให้ลูกค้าที่สั่งจองก่อน แล้วจึงออกมาเปิดร้านต่อไป

ลุงเต่าเป็นคนน่ารัก น่าคบค้าสมาคม จิตใจดี มีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาก โดยจะเห็นบรรดาพรรคพวกที่ช่วยเหลือ ขนย้ายอุปกรณ์การขายให้ลุงเต่ากันอย่างพร้อมเพรียง คอยช่วยเหลือจัดหาและให้ความสะดวกจัดส่งอาหารกล่องของลูกค้า ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนฝูงชาววินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด

ทุกวันนี้ ลุงเต่า กับภรรยาที่มีชื่อว่า คุณตุ๊กตา ยังคงขายข้าวหน้าเป็ดอย่างมีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก มีหลักฐานที่มั่นคง มีลูกชาย 1 คน และลูกสาว 1 คน ที่เป็นคนช่วยเหลือและเป็นลูกมือของลุงเต่ามาโดยตลอด มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อต่อลูกค้าและซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ รักษาความสะอาด ใช้ของดีมีคุณภาพ รักษามาตรฐานความอร่อยและราคาขายที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า จึงทำให้ลุงเต่ามีลูกค้าที่เหนียวแน่นมาตลอด

ลุงเต่าให้ข้อคิดใน การทำการค้าขายให้ประสบความสำเร็จว่า เวลาขายของอย่าเครียด อย่าทำหน้าบึ้ง คุยสนุกสนาน เป็นกันเองแบบเพื่อนฝูง อย่าใช้อารมณ์กับลูกค้า ทำได้อย่างนี้ก็โอเคครับ

อยากจะมาเที่ยวที่อำเภอแก่งคอย และแวะชิมเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ของลุงเต่า ก็เชิญได้ครับ ร้านอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟแก่งคอย อยู่ตรงเสาธงขนาดใหญ่เป็นที่สังเกต ถามว่าร้านลุงเต่าหรือลุงเตี้ยใครๆ ก็รู้จักครับ จะได้ชิมของดีราคาไม่แพงไปกว่าร้านทั่วๆ ไป แต่รสชาติต้องขอบอกว่า นายพัน การันตี ครับ โทรศัพท์หาลุงเต่าได้ที่ (089) 081-5058 ตัวจริงเสียงจริงรอต้อนรับอยู่ครับ

จบไปอีกฉบับแล้ว ตำนานอาชีพฉบับหน้าเป็นเรื่องอะไรต้องติดตามครับ สวัสดี



วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 15 ฉบับที่ 237

วันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

แพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปทั่วโลก

UNDP มองเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง

ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และโฆษกกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าววันนี้ (18 ก.ย.) ว่า สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) ได้ถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องแนวพระราชดำริปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โดยที่ UNDP มองว่าเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาและ สถานการณ์ต่างๆ ได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง

ม.ล. ปนัดดา กล่าวว่า ความชื่นชมของประชาคมโลกมองว่า ตั้งแต่ที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัตินับเป็นเวลา 63 ปี ล่วงมาแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแสดงให้ผู้คนพลเมืองได้ประจักษ์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ ไม่เหมือนพระมหากษัตริย์อื่นๆ อาทิ ทรงปลูกข้าว เพาะพันธุ์ปลา และเลี้ยงวัวในบริเวณพระราชวัง โปรดการเสด็จฯ บุกน้ำลุยโคลนเพื่อสำรวจพื้นที่การก่อสร้างโครงการชลประทาน ทรงเป็นผู้นำในการคิดค้นเทคนิคในการบำบัดน้ำเสียโดยใช้กังหันลมและการทำฝน เทียม กับอีกทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนและบำบัดทุกข์ บำรุงสุขราษฎรในทุกๆ พื้นที่ทั่วประเทศ

“หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียงสามารถชี้ให้แลเห็นแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกๆ ระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ กล่าวคือการพัฒนาและการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการ พัฒนาเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ที่สำคัญที่สุดตามที่ UNDP ตั้งข้อศึกษาไว้ก็คือ การปลูกฝังจิตสำนึกพอเพียง จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนค่านิยมและความคิดของคน เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาสังคม โดยคนทุกๆ คนต้องมุ่งมั่นหาวิชาความรู้ มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ และดำเนินชีวิตด้วยความนอบน้อม พากเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างที่โดดเด่นของผู้นำที่ไม่เหมือน ใครในโลก และทรงเป็นแรงบันดาลใจในแบบที่ประชาคมโลกปัจจุบันต้องเรียนรู้”และ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าว

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ