วันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

สดุดีราชันแห่งราชา King Of King















วันนี้ วันที่5ธันวาคม 2552 เป็นวันอะไรคงไม่ต้องพูด ไม่ต้องบรรยายกันแล้วนะครับ
โอกาสนี้ผมจะขอพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ที่ผมชื่นชอบมาซัก3-4รูปนะครับ
เป็นรูปที่มีทุกบ้าน และมีด้วยใจบริสุทธิ์


วันพุธที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ศูนย์ต้นแบบพลังงานทดแทนครบวงจร


รัฐบาลได้กำหนดให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ โดยตั้งเป้าที่จะลดปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลให้ได้ 10% ภายในปี พ.ศ. 2555 ขณะที่มุ่งส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลเพื่อทดแทนพลังงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมีความต้องการใช้สูงถึง วันละ 8.5 ล้านลิตร สำหรับวัตถุดิบที่สามารถนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลได้นั้น คือ พืชน้ำมันทั่วไป โดยเฉพาะ “ปาล์มน้ำมัน” จัดเป็นพืชที่มีศักยภาพสูงซึ่งปัจจุบันพื้นที่เพาะปลูกได้ขยายตัวไปกว่า 3.62 ล้านไร่ทั่วประเทศ แม้แต่เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังให้ความสนใจและต้อง การปลูกพืชชนิดนี้ กรมวิชาการเกษตรจึงจัดทำ “ศูนย์ต้นแบบการบริหารวัตถุดิบเพื่อพลังงานทดแทนครบวงจร” ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นต้นแบบให้ชุมชนต่าง ๆ นำไปประยุกต์ใช้โดยชุมชนและเพื่อชุมชน....

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ขณะนี้กรม วิชาการเกษตรมีแผนเร่งดำเนินโครงการศูนย์ ต้นแบบการบริหารวัตถุดิบเพื่อพลังงานทดแทนครบวงจร นำร่องในพื้นที่จังหวัดเลย โดยเน้นให้เกษตรกรและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เบื้องต้นได้ร่วมกับชุมชนเร่งสำรวจพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวและ พืชไร่ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนมาปลูกปาล์มน้ำมัน เป้าหมายรวมไม่น้อยกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตรกรในพื้นที่เกือบ 1,000 ราย จากนั้นจะให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯยืมต้นกล้าปาล์มน้ำมันพันธุ์ สุราษฎร์ธานี 2 ไปปลูกก่อน 4 ปี หลังจากที่ปาล์มน้ำมันให้ผลผลิตแล้ว กำหนดให้ส่งคืนทะลายปาล์มสดแก่โครงการฯ ต้นละ 2-3 ทะลาย เพื่อเป็นค่ายืมต้นกล้า ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรเริ่มทยอยปลูกปาล์มน้ำมันไปแล้วกว่า 3,000 ไร่

ขณะที่กรมวิชาการเกษตรได้เร่งจัดเตรียมต้นกล้าปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีไว้รองรับ ความต้องการของเกษตรกรเพิ่มเติมอีกกว่า 85,000 ต้น สำหรับพื้นที่ปลูก 4,000-4,400 ไร่ อีกทั้งยังได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเตรียมจัดตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มต้นแบบระบบเย็น โดยกระบวนการสกัดจะแยกเส้นใยปาล์มออกจากกะลา แล้วนำเข้าเครื่องหีบน้ำมันให้ได้น้ำมันปาล์มออกมา ซึ่งระบบนี้มีความยุ่งยากน้อยกว่าการ สกัดแบบใช้ไอน้ำ จะได้กากเส้นใยที่มีคุณค่าสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ และไม่มีน้ำเสียเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตด้วย

ภายในปี พ.ศ. 2552 นี้ คาดว่าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ โดยมีกำลังการผลิต 5 ตันต่อชั่วโมง สามารถรองรับผลผลิตทะลายปาล์มสดวันละไม่น้อยกว่า 50 ตัน คาดว่าจะผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้วันละกว่า 10 ตัน หรือ 10,300 ลิตร ป้อนให้กับโรงงานผลิตไบโอดีเซลได้ ขณะเดียวกันยังจะได้กากเส้นใยวันละประมาณ 6.6 ตัน สามารถนำไปเลี้ยงโค-กระบือในพื้นที่ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้มีแผนร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ส่งเสริมให้เกษตรกร ผู้เลี้ยงโค-กระบือกว่า 200 ราย รวมกลุ่มเพื่อสร้าง คอกกลาง และนำโค-กระบือมาเลี้ยงรวมกันประมาณ 600 ตัว โดยใช้กากเส้นใยปาล์มเป็นอาหารสัตว์

นายสมเจตน์ ประทุมมินทร์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการผลิตพืช สำนักผู้เชี่ยวชาญ กรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการฯยังมีแผนพัฒนาระบบเกษตรโดยใช้โครงสร้างเกษตรทฤษฎีใหม่และหลัก เศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อ นำไปสู่การพัฒนาและสร้างตลาดท้องถิ่นสำหรับสินค้าเกษตรปลอดภัยหรือเกษตร อินทรีย์ที่มีคุณภาพ โดยจำลองระบบตลาดท้องถิ่นจากประเทศญี่ปุ่นนำมาดัดแปลงใช้ พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ เกี่ยวกับโครง การฯต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เป็นเมืองสะอาดแบบบูรณาการ และระบบการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย เป็นต้น

...นับเป็นช่องทางที่จะช่วยสร้าง อาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการประกบอาชีพเกษตรกรรม และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนและท้องถิ่นให้ดีขึ้นอีกด้วย.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ชาวนาไทยยังยากจน-เป็นหนี้สิน


เคย เห็นชาวนาไทยร่ำรวยไหม ตั้งแต่จำความได้ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยเห็นชาวนาไทยร่ำรวยกับเขาเลย มีแต่เป็นหนี้เป็นสินกันอีนุงตุงนัง

ชาวนาไทยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือ จะว่าชาวนาไทยใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก็คงไม่ได้ อาหารเคยทานอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ทานอย่างนั้น เคยเก็บผักเก็บหญ้า หัวไร่คันนา เด็ดกระถิน ตำลึง ที่ริมรั้ว เมื่อก่อนมาทานอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังเหมือนเดิม

เสื้อ ผ้าใส่อย่างไรก็ใส่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าใหม่เปลี่ยนกับเขาเลย แถมสุขภาพก็ไม่ดี ย่ำแย่ เจ็บออด ๆ แอด ๆ บ้านช่องก็ทรุดโทรม ฝนตกมา หลังคาก็รั่ว ซ่อมกันแล้วซ่อมกันอีก

วัวควาย หายไปไหนสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ วัว ควาย ที่เมื่อก่อนกินหญ้าอยู่เต็มท้องทุ่ง เดี๋ยวนี้หายไปไหนหมด ใครตอบได้บ้าง

ลูก หลานชาวนาลูกหลานชาวนา ก็ไม่อยากจะทำนาสืบต่อไปแล้ว พากันเข้าเมืองเข้ากรุงมาหางานทำกันหมด เหลือไว้แต่คนแก่และเด็ก ๆ เฝ้าบ้าน รองานเทศกาลต่าง ๆ ที่ลูกหลานจะได้กลับมาเยี่ยมบ้าน

ความ จริงจังและจริงใจของรัฐบาลรัฐบาลไม่รู้ว่ากี่รัฐบาล ต่างก็รับปากจะช่วยเหลือชาวนาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาลไหนช่วยอย่างจริงจังและจริงใจกันเลย

ต่างชาติ เตรียมจะฮุบที่ดินปัจจุบัน ก็ได้ข่าวว่า มีต่างชาติมาฮุบที่ดินของชาวนาไปก็มี ชาวนาจริง ๆ ที่มีที่ดินเป็นของตนเอง จะมีสักกี่รายในปัจจุบัน

ข้าวหอมมะลิดีที่สุดในโลกแต่รู้ไหมว่า ข้าวหอมมะลิ ที่ดีที่สุดในโลกนั้น ผลิตจากประเทศไทย โดยชาวนาไทยเป็นผู้ผลิตทั้งสิ้น

กระทู้ถาม ทำไมชาวนาไทยจึงยังคงยากจนและเป็นหนี้สินตลอดชาติ

ปัญหาและอุปสรรค มีอะไรบ้าง และทางออกหรือทางแก้ไขจะมีเช่นไร

ชาวนาไทยมีทางที่จะลืมตาอ้าปากขึ้นบ้าง ได้หรือไม่ ทำอย่างไร ชาวนา จึงจะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ขอขอบคุณ www.talkystory.com

วันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เลี้ยงปลาดุก-ปลูกผัก รายได้งาม 2 หมื่นต่อเดือน




นายเลอพงษ์ มุสิกะมาน รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมสมาชิกและสหกรณ์ใน พื้นที่นิคมสหกรณ์ทั่วประเทศ ได้มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และจัดให้มีโครงการพัฒนาอาชีพให้แก่สมาชิกตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะทำให้สมาชิกมีรายได้เสริมจากกิจกรรมที่เข้าร่วมโครง การ ส่งผลให้สมาชิกนิคมสหกรณ์มีที่อยู่อาศัย มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง มีอาชีพสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

และล่าสุดได้ทำความเข้าใจกับเกษตรกรเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินและ พัฒนา อาชีพสมาชิกในเขตนิคมสหกรณ์ดงเย็น จังหวัดมุกดาหาร โดยมีสมาชิกสหกรณ์จำนวน 200 คนเข้าอบรมและรับมอบหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (กสน.5)

“การอบรมในโครงการดังกล่าวจะให้ความรู้เกี่ยวกับประเภทที่ดินและการออก เอกสารสิทธิในเขตนิคมสหกรณ์ พร้อมทั้งยังได้ชี้แจงการนำหนังสือแสดงการทำประโยชน์ในที่ดินให้สมาชิกนิคม สหกรณ์สามารถนำไปออกโฉนดที่ดินหรือ นส.3 ก ในโอกาสต่อไปได้ ซึ่งจะทำให้ราษฎร ได้เห็นถึงความสำคัญของเอกสารสิทธิที่ดินและการใช้ประโยชน์ในที่ดินได้อย่าง ถูกต้องต่อไป” รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว

รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการพัฒนาอาชีพให้แก่สมาชิกตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็เพื่อเป็น การขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ สามารถนำไปประยุกต์ในทางปฏิบัติได้จริง มีการปลูกพืชโดยใช้หลักปลูกพืชที่กิน กินพืชที่ปลูก เพื่อให้เห็นว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้ทุกความคิด ชุมชนสามารถดูแลตนเองได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจพอเพียงกำลังลงรากลึกเพื่อเป็นพื้นฐาน ให้สมาชิกนิคมสหกรณ์มีความเป็นอยู่ที่ดี ใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สังคมมีความสุข โดยไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร อยู่อย่างพอเพียงท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์

นายเรืองรำไพ รุ่งโรจน์ เกษตรกร ตำบลดงเย็น อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร หนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวเล่าให้ฟังว่า รายได้ทุกวันนี้คือขายลูกปลาดุก โดยทางนิคมให้การสนับสนุนทั้งความรู้และเงินทุนในเบื้องต้น 3,000 บาท นำมาซื้อผ้ายาง 1,000 บาท ทำการผสมเทียมปลาเอง ซึ่งได้เริ่มจากนำพ่อ-แม่พันธุ์ปลาดุกมาเลี้ยง 6 ตัว ซื้อมาจากหน่วยงานของกรมประมงคัดเอาแต่ตัวใหญ่ ๆ เลี้ยงประมาณ 3 ปี แล้วก็เพาะพันธุ์ มีปลาดุกรัสเซีย ปลาดุกยักษ์ปลาดุกอุย ลูกออกมาคู่ละประมาณ 3 หมื่นตัว เลี้ยง 28 วันก็ตัวละ 1 บาท

“ส่วนใหญ่ขายในตำบลก็หมดแล้วเขารู้ว่าเราเพาะพันธุ์ปลาขาย เกษตรนิคมก็มาเอาที่นี่ รับประกันถ้าตาย 1 ตัวแถม 2 ตัว เขาเอาไปเลี้ยงเมื่อโตก็เอาไปขาย รายได้รองลงมาก็ปลูกผัก มีรายได้ประมาณ 2 หมื่นต่อเดือน” นายเรืองรำไพ กล่าว

สมาชิกนิคมสหกรณ์ดงเย็นรายนี้ยังได้เล่าเพิ่มเติมด้วยว่า ปลาดุกที่เลี้ยงนั้นจะไม่เกิดโรค เพราะเลี้ยงใต้ต้นมะขาม ซึ่งมีใบมะขามหล่นลงไปในบ่อเลี้ยงตลอดเวลา ใบมะขามทำปฏิกิริยากับน้ำทำให้น้ำไม่มีโรคที่เป็นผลต่อปลา ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำ ให้อาหารเม็ดและเสริมด้วยกระถิน ใบมันสำปะหลัง รำ โตได้ขนาดก็จับขาย ส่วนใหญ่มีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่เลี้ยง.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เกษตรทั่วไทย

วันพุธที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ลุงเต่า เป็ดย่าง-หมูแดง-หมูกรอบ แก่งคอย

ตำนานอาชีพ

พันธ์ ทรงประเสริฐ

ชีวิตต้องสู้ของ ลุงเต่า เป็ดย่าง-หมูแดง-หมูกรอบ แก่งคอย

ผม เขียนตำนานอาชีพฉบับนี้ด้วยความชื่นชมและยินดีกับเจ้าของเรื่องราวเป็นอัน มาก เพราะว่าเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าใครได้อ่านหรือได้ไปพบปะหน้าตาของลุงเต่า เจ้าของร้านขายข้าวหน้าเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ เจ้าอร่อยของเมืองแก่งคอย ที่เอาชนะอุปสรรคนานาชนิด

ด้วยรูปร่างและหน้าตาของลุงเต่าที่ ผิดแปลกไปจากชายไทยแบบธรรมดา ความผิดแปลกหรือความเป็นข้อด้อยในรูปร่าง ไม่ได้ทำให้ลุงเต่าท้อถอยหรือย่นย่อต่อชะตาชีวิตที่ไม่สามารถเลือกเกิดได้ ลุงเต่าเอาชนะอุปสรรคนานาชนิดด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง จนสามารถยืนหยัดสู้ชีวิตมาล้างภาพพจน์ของตัวเองจนก้าวขึ้นสู่ทำเนียบนักสู้ อย่างทรนง

ท่านที่เคารพครับ ผมกำลังนำท่านให้รู้จักกับ ชายร่างเตี้ยแคระที่มีชื่อว่า ลุงเต่า แห่งอำเภอแก่งคอย ที่ประกอบอาชีพขายข้าวหน้าเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ที่ใครๆ ต่างยกย่องว่าอร่อยมาก แม้ว่าบางครั้งจะต้องทนหิวเพื่อรอเวลาให้ลุงเต่ามาเปิดร้านเร็วๆ แต่ทุกคนก็มีใจที่จะรอการมาปรากฏตัวของลุงเต่า นั่นหมายถึงว่าได้เวลาอร่อยแล้ว เตรียมตัวลุยได้เลย

ผมเดินทางมาที่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ตามกำหนดการเดิมคือจะไปทำธุระที่จังหวัดลพบุรี และหาโอกาสแวะเยี่ยมลูกศิษย์ที่เปิดร้านสเต๊กมาได้ 3 ปีเศษ คือ ร้านสเต๊กมือถือ หรือที่รู้จักกันในนาม สเต๊กเจ๊ดาโฟนช็อป ที่ทำร้านขายสเต๊ก 39 บาท ควบคู่ไปกับธุรกิจหลักคือ ขายโทรศัพท์มือถือ เป็นที่รู้จักของคนแก่งคอยเป็นอย่างดี

ในช่วงเวลาอาหารกลางวัน เจ๊ดา หรือชื่อจริงคือ คุณธัญญลักษณ์ ตระกูลพิบูลย์ชัย ได้พาผมไปรับประทานอาหารกลางวัน แถมยังทราบมาว่าผมชอบเขียนถึงเรื่องราวร้านอาหารที่อร่อยและมีความเป็นมาที่ น่าสนใจ จึงพาผมไปที่ร้านลุงเต่า อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟแก่งคอย

คณะ ของผมใช้เวลานั่งรอเพื่อสรรหาความอร่อยอย่างน่าหงุดหงิด รวมไปถึงบรรดาลูกค้าจำนวนมากเขาก็กำลังรอเจ้าของร้าน รวมทั้งผมใช้เวลารอคอยเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งธรรมดาแล้วกำหนดเวลาเปิดร้านจะอยู่ที่ประมาณ 09.30-10.00 น. ทุกวัน แต่วันนี้กลับสายโด่งเกือบจะเที่ยงแล้ว ลุงเต่ายังไม่ปรากฏกายเลย เพราะว่ามีรายการสั่งอาหารกล่องประมาณ 100 กล่อง เป็นข้าวหน้าเป็ดแบบรวมมิตร เลยต้องจัดการให้ลูกค้าที่สั่งจนครบถ้วนเรียบร้อยจึงสามารถออกมาเปิดร้านขาย ที่ร้านได้ตามปกติ

ลูกค้าหลายคนรวมทั้งคณะของผมเริ่มมีสีหน้ายิ้มออก เพราะเสียงตะโกนของบรรดาวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านลุงเต่า ให้พรรคพวกชาววินเตรียมตัว เพราะต้องช่วยขนของอุปกรณ์การขายให้กับลุงเต่าเป็นประจำทุกวัน

ลุง เต่ามาพร้อมรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง บรรทุกสัมภาระมาเต็มคันรถ มีภรรยานั่งซ้อนท้าย พร้อมด้วยลูกสาวที่ขับมอเตอร์ไซค์อีกคันไล่หลังตามกันมา

ลุงเต่าจัด แจงเตรียมอุปกรณ์การขายและสั่งการให้ภรรยาและลูกสาว จัดการรับคำสั่งจากลูกค้า และบรรดาชาววินมอเตอร์ไซค์ก็รีบช่วยจัดวางพวกที่จะทำขาย เช่น หมูย่าง หมูแดง และเป็ดย่าง และบรรดาสัมภาระที่เกี่ยวข้องกับการขายให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

ลุง เต่าเป็นคนเตี้ยแคระ แต่ก็ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และคล่องแคล่วมาก พูดเสียงดังฟังชัดเจน สังเกตจากการสับเป็ดหั่นหมูลงจานข้าวที่ลูกสาวและภรรยาตักเตรียมพร้อมไว้ อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

อาหารทุกจานมีปริมาณที่เหมาะสมกับราคาที่ จัดว่า ถูกกว่าราคาในเมืองใหญ่ๆ ลุงเต่าให้ปริมาณที่มากกว่าบรรดาร้านขายข้าวหน้าเป็ดโดยทั่วไปเกือบเท่าตัว

ผม สังเกตหน้าตาของบรรดาลูกค้าที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เห็นสีหน้าแสดงออกถึงความสุขใจที่ได้มาชิมอาหารของลุงเต่า สมกับการรอคอย รวมถึงคณะของผม ต่างก็ชื่นชมกับรสชาติของเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ทุกเมนูหมดเกลี้ยงไปชั่วพริบตา ผมขอรับประกันได้ว่า ใครที่ได้มาชิมข้าวหน้าเป็ดของลุงเต่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน รสชาติเข้มข้นเหมือนอาหารจีนแบบกวางตุ้งอย่างแท้จริง

ผมนั่งรอเวลา เพื่อให้ลุงเต่าว่างเพื่อที่จะขอสัมภาษณ์และขอถ่ายรูป ลุงเต่าก็ใจดี อนุญาตให้สัมภาษณ์ได้ แต่หากจะรอให้ว่างเห็นท่าจะไม่มีโอกาส เลยต้องสัมภาษณ์ทางเทปไปและสับเป็ดสับหมูพร้อมๆ กันไป ก็ได้ใจความที่เป็นรายละเอียดพอประมาณ

ลุงเต่ามีชื่อจริงว่า คุณสมจิตร ม่วงน้อย ปัจจุบันอายุ 52 ปี เป็นคนจังหวัดปทุมธานี โดยกำเนิด อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีอาชีพทำสวน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ โตขึ้นมาหน่อยก็ชอบเที่ยวเตร่เร่ร่อนไปตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งเข้าวัยหนุ่มก็มาอยู่ที่ย่านสถานีรถไฟสามเสน สมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานยกหนังสือพิมพ์ของไทยรัฐ ซึ่งในสมัยก่อนเขาจัดส่งหนังสือพิมพ์ไปยังต่างจังหวัดทางรถไฟขบวนช่างเย็นๆ ส่วนเวลาว่างก็ไปสมัครล้างจานที่ขายอาหารประเภทข้าวหน้าเป็ด หมูกรอบ หมูแดง ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟสามเสน

เริ่มแรกก็ไม่ได้ ตั้งใจจะไปสมัครงาน แต่เพราะว่าเกิดไปติดสาวน้อยนางหนึ่งที่ทำงานในร้านอาหาร ก็เลยอยากจะใกล้ชิดจึงขอสมัครไปทำงานเพื่อจะได้จีบมาเป็นแฟน ลุงเต่าเป็นคนสนใจงาน เห็นเขาปิ้งย่างเป็ด หมูกรอบ หมูแดง ก็เลยใช้วิธีเข้าไปดูเขาทำกัน แบบครูพักลักจำ

ช่วงระยะเวลา 1 ปีเท่านั้น ลุงเต่าก็เก็บเกี่ยวเอาความรู้ที่ได้เห็นมาและประสบการณ์ที่ได้เป็นลูกมือ เขามาบ้าง รวมไปถึงรางวัลชีวิตชิ้นใหญ่คือ ได้แฟนมาด้วย 1 คน คบหากันจนตกลงใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา

ลุงเต่าตัดสินใจเดินทางไป ที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเดิมของภรรยา ยึดอาชีพเป็นกรรมกรรับจ้างงานทั่วไป ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างเตี้ยเล็ก แต่ลุงเต่าก็ไม่ท้อถอย ทำงานแบกหามได้ทุกชนิด

อยู่บ้านภรรยาที่จังหวัดสุรินทร์ได้ประมาณ ปีเศษๆ ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่แก่งคอย เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่เป็นนายสถานี และที่แก่งคอยนี้ ลุงเต่าเริ่มมีความคิดที่จะค้าขายแบบเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน โดยมีภรรยาเป็นผู้ช่วย เพราะหากว่ายังยึดอาชีพเป็นกรรมกรรับจ้างงานทั่วไป อนาคตคงจะไม่รุ่ง ครั้นจะไปสมัครทำงานตามร้านทั่วไป นายจ้างก็ไม่ค่อยจะมั่นใจในความสามารถของลุงเต่าว่าจะทำได้สักแค่ไหน สุดท้ายมาลงเอยที่จะเปิดร้านขายข้าวหน้าเป็ดย่างและหมูแดงหมูกรอบเป็นของตัว เอง

ลุงเต่า เล่าให้ฟังว่า เริ่มต้นขายอาหารเป็นของตัวเองในช่วงปี 2525 เพราะคิดแล้วดีกว่าไปทำงานอื่น ความรู้ที่ได้มาจากเป็นลูกน้องเขามาก่อน และจำเทคนิคต่างๆ ที่ได้เห็นมา มีความมั่นใจว่าตัวเองทำได้แน่นอน จึงลงมือเปิดขายทันที

เริ่มแรกที่ เปิดร้าน ลุงเต่า เล่าให้ฟังว่า ยังขายไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเป็นต่างจังหวัด ความนิยมที่จะรับประทานเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ยังไม่แพร่หลาย และเป็นอำเภอเล็กๆ คนยังน้อย แต่ลุงเต่าก็ไม่ท้อถอย ขายมากขายน้อยก็อดทน คิดว่าสักวันหนึ่งชีวิตจะดีขึ้นและประสบความสำเร็จแน่นอน

ลุงเต่า เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า กว่าที่จะมีลูกค้าที่มาช่วยกันอุดหนุนหนาแน่นแบบทุกวันนี้ ต้องใช้เวลาหลายปี อาศัยที่มีความอดทนสูง มีจิตใจอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ค้าขายแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ขายไม่แพง และให้คุณภาพควบคู่กับปริมาณที่เหมาะสม ลูกค้าจึงให้การยอมรับในรสชาติความอร่อย และส่วนใหญ่เป็นคนในท้องที่ รู้จักคบค้ากันมาก่อน เขาคงจะทราบว่า เป็นคนทำมาค้าขายอย่างจริงจัง จึงให้การสนับสนุนมาตลอด ช่วยกันบอกกล่าวโฆษณาปากต่อปากจนใครๆ ที่มาอำเภอแก่งคอย ต้องแวะมาอุดหนุนอาหารของลุงเต่า บางครั้งก็มีรายการวิทยุโทรทัศน์มาถ่ายทำเรื่องราวของลุงเต่า รวมถึงหนังสือพิมพ์มาสัมภาษณ์ ก็เลยดังใหญ่ ใครๆ ก็อยากมาดูตัวจริงของลุงเต่า

ลุงเต่าใช้เป็ดปักกิ่งตัวโตมาย่าง ซึ่งลุงเต่า บอกว่า เป็ดปักกิ่งตัวโต เนื้อเยอะ ไม่เหนียว ส่วนหมูแดง หมูกรอบ ใช้หมูมาย่างในถังน้ำมันตามแบบฉบับของร้านอาหารดังๆ ในกรุงเทพฯ ในสไตล์แบบจีนกวางตุ้ง เริ่มย่างตั้งแต่เช้ามืด พอสายหน่อยก็เตรียมตัวออกมาจัดร้านที่เขาแบ่งให้เช่าหน้าร้าน อยู่กันมาได้ 27 ปี เข้าให้แล้ว

ลุงเต่าจะมาเปิดร้านประมาณ 09.30-10.30 น. ทุกวัน นอกเหนือจากหากมีลูกค้าสั่งจองข้าวกล่อง ประมาณว่า 100 กล่อง ก็ต้องออกสายสักหน่อย เพราะต้องจัดเตรียมให้ลูกค้าที่สั่งจองก่อน แล้วจึงออกมาเปิดร้านต่อไป

ลุงเต่าเป็นคนน่ารัก น่าคบค้าสมาคม จิตใจดี มีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาก โดยจะเห็นบรรดาพรรคพวกที่ช่วยเหลือ ขนย้ายอุปกรณ์การขายให้ลุงเต่ากันอย่างพร้อมเพรียง คอยช่วยเหลือจัดหาและให้ความสะดวกจัดส่งอาหารกล่องของลูกค้า ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนฝูงชาววินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด

ทุกวันนี้ ลุงเต่า กับภรรยาที่มีชื่อว่า คุณตุ๊กตา ยังคงขายข้าวหน้าเป็ดอย่างมีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก มีหลักฐานที่มั่นคง มีลูกชาย 1 คน และลูกสาว 1 คน ที่เป็นคนช่วยเหลือและเป็นลูกมือของลุงเต่ามาโดยตลอด มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อต่อลูกค้าและซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ รักษาความสะอาด ใช้ของดีมีคุณภาพ รักษามาตรฐานความอร่อยและราคาขายที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า จึงทำให้ลุงเต่ามีลูกค้าที่เหนียวแน่นมาตลอด

ลุงเต่าให้ข้อคิดใน การทำการค้าขายให้ประสบความสำเร็จว่า เวลาขายของอย่าเครียด อย่าทำหน้าบึ้ง คุยสนุกสนาน เป็นกันเองแบบเพื่อนฝูง อย่าใช้อารมณ์กับลูกค้า ทำได้อย่างนี้ก็โอเคครับ

อยากจะมาเที่ยวที่อำเภอแก่งคอย และแวะชิมเป็ดย่าง หมูแดง หมูกรอบ ของลุงเต่า ก็เชิญได้ครับ ร้านอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟแก่งคอย อยู่ตรงเสาธงขนาดใหญ่เป็นที่สังเกต ถามว่าร้านลุงเต่าหรือลุงเตี้ยใครๆ ก็รู้จักครับ จะได้ชิมของดีราคาไม่แพงไปกว่าร้านทั่วๆ ไป แต่รสชาติต้องขอบอกว่า นายพัน การันตี ครับ โทรศัพท์หาลุงเต่าได้ที่ (089) 081-5058 ตัวจริงเสียงจริงรอต้อนรับอยู่ครับ

จบไปอีกฉบับแล้ว ตำนานอาชีพฉบับหน้าเป็นเรื่องอะไรต้องติดตามครับ สวัสดี



วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 15 ฉบับที่ 237

วันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒

แพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปทั่วโลก

UNDP มองเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง

ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และโฆษกกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าววันนี้ (18 ก.ย.) ว่า สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) ได้ถวายพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องแนวพระราชดำริปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โดยที่ UNDP มองว่าเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาและ สถานการณ์ต่างๆ ได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง

ม.ล. ปนัดดา กล่าวว่า ความชื่นชมของประชาคมโลกมองว่า ตั้งแต่ที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัตินับเป็นเวลา 63 ปี ล่วงมาแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแสดงให้ผู้คนพลเมืองได้ประจักษ์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ ไม่เหมือนพระมหากษัตริย์อื่นๆ อาทิ ทรงปลูกข้าว เพาะพันธุ์ปลา และเลี้ยงวัวในบริเวณพระราชวัง โปรดการเสด็จฯ บุกน้ำลุยโคลนเพื่อสำรวจพื้นที่การก่อสร้างโครงการชลประทาน ทรงเป็นผู้นำในการคิดค้นเทคนิคในการบำบัดน้ำเสียโดยใช้กังหันลมและการทำฝน เทียม กับอีกทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนและบำบัดทุกข์ บำรุงสุขราษฎรในทุกๆ พื้นที่ทั่วประเทศ

“หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียงสามารถชี้ให้แลเห็นแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกๆ ระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ กล่าวคือการพัฒนาและการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการ พัฒนาเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ที่สำคัญที่สุดตามที่ UNDP ตั้งข้อศึกษาไว้ก็คือ การปลูกฝังจิตสำนึกพอเพียง จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนค่านิยมและความคิดของคน เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาสังคม โดยคนทุกๆ คนต้องมุ่งมั่นหาวิชาความรู้ มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ และดำเนินชีวิตด้วยความนอบน้อม พากเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างที่โดดเด่นของผู้นำที่ไม่เหมือน ใครในโลก และทรงเป็นแรงบันดาลใจในแบบที่ประชาคมโลกปัจจุบันต้องเรียนรู้”และ โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าว

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ชาวนาไทยอย่าร้องไห้

วานนี้ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของ คุณนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โต้เรื่องการเปิดตลาดข้าวเสรี ก็พลันนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา "ชาวนาไทยอย่าร้องไห้" ด้วยความสงสารชาวนาไทยกระดูกสันหลังของชาติ ซึ่งกำลังจะเผชิญกับวิบากกรรมสาหัสในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เมื่อตั้งชื่อเรื่อง "ชาวนาไทยอย่าร้องไห้" ก็ทำให้ผมคิดถึงเพลง Donžt Cry For Me, Argentina เพลงดังจากละคร Evita ขึ้นมาทันที มีความหมายลึกซึ้งดีไปฟังดู

ท่านผู้อ่านคงจำได้ ช่วงนี้ผมเขียนเรื่องข้าวไปสองครั้ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วและวันจันทร์ เรื่องการเปิดตลาดข้าวเสรีของไทย ให้ประเทศอาเซียนส่งข้าวเข้ามาขายในไทยได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า และเรื่อง เศรษฐีน้ำมันอาหรับที่ไปลงทุนปลูกข้าวในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะมีนอมินีซื้อนาปลูกข้าวอยู่ในเมืองไทยแล้วก็ได้ แต่เราไม่รู้

ผมเขียนเรื่องข้าวด้วยความรู้สึกที่เป็นห่วงชาวนาไทย ปกติก็ขายข้าวขาดทุนไม่คุ้มค่าปลูกอยู่แล้ว เพราะถูกพ่อค้าคนกลางกดราคา จนต้องออกมาประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลรับจำนำข้าวทุกปี

ถ้าเปิดตลาดข้าวเสรีให้เพื่อนบ้านเมื่อไร ชาวนาไทยตายแน่ๆ เพราะข้าวไทยขายแพงกว่า สู้ราคาข้าวเพื่อนบ้านอาเซียนที่ขายถูกกว่าไม่ได้ มิหนำซ้ำรัฐบาลยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆออกมารองรับ ทั้งๆที่จะเปิดตลาดข้าวเสรีในวันที่ 1 มกราคมปีหน้านี้แล้ว ผมเชื่อว่าชาวนาไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำ

คุณนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ คนรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ชี้แจงผม แต่ให้สัมภาษณ์ตอบโต้เรื่องนี้ในสื่อทั่วไปว่า

ไทยยืนยันจะเปิดตลาดข้าวเสรี ตามข้อผูกพันกับอาเซียน จะลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ในวันที่ 1 มกราคม 2553 หากไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันหรือชะลอการเปิดตลาดข้าวไทยออกไป จะทำให้เกิดผลกระทบในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่ง สมาชิกอาเซียนมีสิทธิตอบโต้ไทย โดยขึ้นภาษีนำเข้าข้าวไปอยู่ในระดับเดียวกับที่ผูกพันไว้กับองค์การค้าโลก ทำให้ไทยเสียเปรียบเวียดนาม อาจสูญเสียตลาดส่งออกข้าวในที่สุด

แล้วประเทศอื่นในอาเซียน ลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์หรือไม่

มาอ่านคำตอบจาก คุณนันทวัลย์ เองดีกว่าครับ

ที่ผ่านมาไทยผลักดันให้ประเทศอาเซียนอื่นๆ ลดภาษีข้าวให้ไทยภายใต้กรอบอาเซียน เช่น มาเลเซีย ต้องลดภาษีผูกพันในองค์การค้าโลกจาก 40 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซีย จะลดภาษีผูกพันจาก 160 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2015 โน่น และ ฟิลิปปินส์ ไทยกำลังเจรจาให้ลดภาษีจาก 40 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลืออย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์

คำตอบนี้แสดงว่า ไม่มีประเทศไหนในอาเซียนลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์เหมือนไทยเลย แม้แต่ประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม ผมก็ไม่รู้กรมนี้เขาไปเจรจากันอีท่าไหน ประเทศไทยจึงเสียเปรียบมโหฬารขนาดนี้ เป็นฝ่ายลดภาษีเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์แต่ฝ่ายเดียว แต่ประเทศอื่นยังเก็บภาษีนำเข้าหมด

ยิ่งได้ข้อมูลชัดเจนอย่างนี้ ผมก็ยิ่งสงสารชาวนาไทยหนักขึ้นไปอีก

ส่วนเรื่องที่ผมเป็นห่วงว่า ข้าวจากเพื่อนบ้าน เวียดนาม พม่า ลาว เขมร จะเข้ามาตีตลาดข้าวไทย เพราะมีราคาถูกกว่าข้าวไทย แม้แต่ชาวนาไทยก็อาจต้องซื้อข้าวต่างชาติกินแทนข้าวที่ตัวเองปลูกเพราะราคาถูกกว่า

คุณนันทวัลย์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เตรียมมาตรการไว้แล้ว เช่น กำหนดด่านนำเข้าข้าวเฉพาะ มีการตรวจความปลอดภัยด้านอาหาร ผู้นำเข้าข้าวต้องมีใบรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าข้าว ใบรับรองปลอดจีเอ็มโอ รวมทั้งติดตามการเคลื่อนย้ายข้าวและการเก็บรักษาข้าว

แล้วทุกวันนี้ "ข้าวเถื่อน" จากประเทศเพื่อนบ้านที่นำเข้ามา "สวมสิทธิจำนำกับรัฐบาล" โกงเงินภาษีคนไทยไปดื้อๆ ตรวจกันยังไงมิทราบครับ ท่านอธิบดี

เรื่องนี้ผมคิดว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย และรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ดูแลกรมนี้ คงต้องมีคำตอบให้ชาวนาไทย ทำไมเราไปอุ้มชาวนาต่างชาติมารังแกชาวนาไทย.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์"ลม เปลี่ยนทิศ"

เศรษฐีอาหรับลุยทำนา

การเปิดเสรีตลาดข้าวอาเซียน ชาวนาไทยสะอื้น ถ้ารัฐบาลยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือชาวนา เที่ยวนี้ชาวนาไทยคงได้ขายนาให้แขกอาหรับแน่ เพราะข้าวไทย จะถูกข้าวเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าส่งเข้ามาตีตลาดในประเทศกระเจิงแน่นอน

เรื่องเศรษฐีน้ำมันอาหรับ ออกล่าที่นาปลูกข้าวทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ วันนี้ผมมี ข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟ จากวารสาร การเงินธนาคาร ฉบับเดือนกรกฎาคม ที่เจาะลึกในเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้แขกอาหรับไปไกลแล้ว

วารสาร การเงินธนาคาร รายงานว่า เมื่อต้นปีนี้ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย ประเทศมหาเศรษฐีน้ำมัน เพิ่งจะจัดงานใหญ่ฉลองต้อนรับ ผลผลิตข้าวงวดแรก ที่ได้จากการไปลงทุนปลูกข้าวใน ประเทศเอธิโอเปีย เมื่อปีก่อน ในฐานะ เจ้าของนา และ เจ้าของข้าว ครั้งแรกในโลกอาหรับ

รัฐบาลซาอุดีอาระเบียไปลงทุนเช่าที่นาจากรัฐบาลเอธิโอเปีย มูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีก่อน ปลูกข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ และ ข้าวสาลี เพื่อส่งกลับไปบริโภคในประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีแต่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

แม้แขกอาหรับจะร่ำรวยมหาศาลจากการขายน้ำมัน มีเงินสร้างเมืองใหม่ตึกใหม่ทันสมัย ทำเมืองในทะเลทรายเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้าและสนามกอล์ฟ แต่ก็ยังไม่รวยพอที่จะกลั่นน้ำทะเลไปใช้ในการปลูกข้าวเป็นแสนเป็นล้านไร่ เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนอาหรับ เพราะค่ากลั่นน้ำทะเลมันแพงเกินกว่าที่จะเอาไปปลูกข้าว

ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการไป ซื้อที่นา หรือ เช่าที่นา ในประเทศยากจนปลูกข้าวแล้วส่งกลับไปเลี้ยงคนในประเทศ ซึ่งหลายประเทศในตะวันออกกลางก็ทำอย่างนี้

สถาบันวิจัยนโยบายอาหารระหว่างประเทศสหรัฐฯ ได้ศึกษาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดพบว่า นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ที่ดินเกษตรกรรมในประเทศยากจน ถูกนักลงทุนต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ เช่าไปเป็นจำนวนมากถึง 15-20 ล้านเฮกตาร์ ประมาณ 90-120 ล้านไร่ เทียบเท่ากับพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศเลยทีเดียว

เมื่อคำนวณออกมาเป็นเงินลงทุนและค่าเช่าแล้ว มีมูลค่าสูงถึง 20,000- 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 680,000 ล้านถึง 1 ล้านล้านบาท มากกว่ามูลค่าโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจนของ ธนาคารโลก ถึง 10 เท่า

ประเทศยากจนในแอฟริกา ต่างก็นำที่ดินเกษตรกรรมให้ต่างชาติเช่าเป็นจำนวนมาก เช่น ซูดาน ให้ รัฐบาลเกาหลีใต้ เช่าที่ดินเกษตร-กรรมเกือบ 700,000 เฮกตาร์ ประมาณ 4.3 ล้านไร่ ให้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี เช่าอีก 400,000 เฮกตาร์ ประมาณ 2.4 ล้านไร่ และประกาศจะกันที่ดินเพาะปลูกอีกประมาณ 1 ใน 5 ของภาคการเกษตร เพื่อให้เศรษฐีน้ำมันอาหรับมาเช่าทำเกษตรกรรมอีกด้วย

ล่าสุด รัฐบาลจีน ก็ไปทำสัญญาเช่าที่ดินกับ รัฐบาลคองโก ในแอฟริกาอีก 2.8 ล้านเฮกตาร์ ประมาณ 17 ล้านไร่ เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันส่งกลับประเทศ

เมื่อมีข่าวเศรษฐีน้ำมันอาหรับมาดูพื้นที่เกษตรกรรมไทย เพื่อหาช่องทางลงทุนทางการเกษตรในเมืองไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เขาก็ตระเวนหาไปทั่วโลกอยู่แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับคนไทยและรัฐบาลไทยจะยอมให้ต่างชาติซื้อที่นาหรือเช่าที่นาไปปลูกข้าวแข่งกับชาวนาไทยที่ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือไม่

เศรษฐีอาหรับไม่ได้มาดูแค่เมืองไทย แต่ไปดูประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วย เช่น กัมพูชา ปีที่แล้ว รัฐบาลคูเวต ควักเงิน 500 ล้านดอลลาร์ 17,000 ล้านบาท ให้เขมรกู้เพื่อลงทุนพัฒนาระบบชลประทาน ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนทางการเกษตร รัฐบาลกาตาร์ เศรษฐีน้ำมันอีกประเทศ ก็ควักเงิน 200 ล้านดอลลาร์เกือบ 7,000 ล้านบาท ไปลงทุนปลูกข้าวในกัมพูชาเช่นเดียวกัน

อีกไม่ช้า ชาวนาไทยจะสะอื้นหนักกว่านี้ เมื่อตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งในโลกหลุดลอยไป ข้าวอาหรับ กัมพูชา พม่า เวียดนาม หลั่งไหลเข้ามาตีตลาดข้าวไทย ถ้าเรายังคิดไม่ทัน ยังเล่นการเมือง และบริหารประเทศกันแบบนี้.

ขอขอบุคณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์"ลม เปลี่ยนทิศ"

วันพุธที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เคยมีคนบอกว่ารอบของชีวิตคนเราทุก 7 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลง


คำตอบของชีวิต สิริยากร พุกกะเวส
เคยมีคนบอกว่ารอบของชีวิตคนเราทุก 7 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลง

หญิงสาวผมซอยสั้นทรงเก๋ในชุดกระโปรงลายจุดสวมทับด้วยแจ๊คเก็ตทะมัดทะแมงดูสะดุดตาเมื่อเดินเข้ามาในร้านกาแฟเล็กๆ ย่านสุขุมวิท เธอส่งเสียงทักทายอย่างร่าเริง ก่อนเปิดกล่องของขวัญที่ถือมาด้วยพลางโชว์ให้ชมฝีมือถัก นิตติ้งเป็นผ้าพันคอลายสวยที่เตรียมนำไปร่วมประมูลในงานการกุศลที่จะ มีขึ้นตอนบ่าย...เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่บ่งบอกว่าสาวสวยคนนี้ทำอะไรได้มากมายเหลือเกิน
แต่ครั้นเมื่อลงนั่งคุยกันแล้วลองให้ย้อนทบทวนความเป็นไปในชีวิตเมื่อปีที่ผ่านมา กลับได้มองเห็นชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนไปในทางทำอะไรต่อมิอะไรน้อยลง หากล้วนแต่เลือกแล้วว่าทั้งหมดที่ทำไปนั้นดีพอสำหรับชีวิตเมื่อปีที่ผ่านมา คนรักการใช้ชีวิต ที่เฝ้าติดตามผลงานสไตล์ OOM Living Day คงเห็นการจากไปของนิตยสาร OOM แต่มีพ็อกเก็ตบุ๊คภายใต้คอนเซ็ปต์ OOM Lifestyle Book ของสำนักพิมพ์ OOM เข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกัน
ในระยะหลังมานี้ก็ดูเหมือนจะได้เห็น อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส เข้าไปมีส่วนร่วมกับงานบุญ (หรือที่หลายคนเรียกว่างานเพื่อสังคม) ถี่ขึ้นอีกด้วย

ท่านโอโช (Osho : มหาปราชญ์ชาวอินเดีย) ก็เคยพูดเอาไว้ว่าวุฒิภาวะของคนจะถึงรอบของมันทุกๆ 7 ปี โดยที่ไม่ได้เชื่อด้วยนะตอนแรก แต่พอมาลองทบทวนดูแล้วมันก็เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองจริง อย่างตอนอายุ 27 เป็นช่วงถามตัวเองเยอะ แต่ก็เป็นเหมือนคำถามตั้งหลักว่าจะทำอะไรต่อไป แล้วก็เลยตัดสินใจทำรายการทีวี
แล้วพอปีที่แล้ว ตอนใกล้จะอายุ 34 คืออุ้มเกิดกลางปีเดือนมิถุนายน สักเมษายนที่ผ่านมา อยู่ดีๆ ก็คิด...เกิดมาทำไมไม่ทราบ ชีวิตเราสิ่งที่สำคัญมันคืออะไร เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ มีความรู้สึกอยากศึกษาเข้าใจตนเอง แล้วก็ถามตัวเองเยอะ...คือคำถามว่า เกิดมาทำไมนี่มันอาจจะฟังดูเหมือนคลิเช่ แต่อุ้มคิดว่าก็เป็นคำถามที่ควรจะเคาะหัวเราทุกคน ไม่อย่างนั้นเกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิต แล้วก็ตายไป เหมือนหลับอยู่ตลอดเวลา อุ้มคิดว่าตัวเองคงเหมือนพวกผ่านการฝึกหนัก ต้องเผชิญแรงต้านทานทางสังคมเยอะกว่าบางคนหลายเท่า เพราะฉะนั้นก็อาจจะถึงจุดที่ถามตัวเองเร็ว มองว่าชื่อเสียง เงินทอง บ้าน รถ เราก็มีหมดแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร เราอยากทำบริษัท อยากมีอะไรเป็นของตัวเอง ก็ทำมาหมดแล้ว มีคนเกือบ 20 คนที่ออฟฟิศ เคยทำรายการทีวี แมกกาซีนก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง มันเลยแบบ... เฮ้ย แล้วยังไงต่อไปเหรอ
ใช้เวลาสองเดือนนั่งทบทวน ผ่านกระบวนการคิดเยอะมากว่าจะเอายังไงต่อไป และได้คำตอบสำคัญที่สุดก็คือ อย่าเพิ่งใช้ชีวิตแบบนี้ อย่าเพิ่งโง่ทำอะไรต่อไปอีก เพราะเรายังไม่รู้จักตัวเอง เราอยู่ด้วยความไม่รู้เยอะ และลองผิดลองถูกจากการคิดเอาเอง ก็เลยคิดว่า หยุด ตอนเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก่อนวันเกิด อุ้มก็เลยเลิกบริษัท (หัวเราะ) เรียกประชุม แล้วก็บอกว่าจากนี้เราเป็นอิสระต่อกัน ใครที่ทำงานด้วยกันได้ ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ เป็นฟรีแลนซ์ และปรับโมเดลแมกกาซีนให้เป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค และลดต้นทุนทุกอย่าง คนเราควรจะลดต้นทุนของชีวิตให้ต่ำที่สุด เพราะเราต้องไม่ประมาท เพราะฉะนั้นการที่เราหยุด และทำอะไรที่น้อยลง เล็กลง ก็เพื่อให้เราได้ให้เวลากับตัวเอง ไม่อย่างนั้นเราจะเหมือนถีบจักร
ในช่วงครึ่งปีหลังจึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องจัดการเคลียร์บริษัท คือการทำอะไรแบบนี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ตัดได้ง่ายนะคะ มันมีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก แต่เราก็ยังรู้สึกดีแล้วที่หยุด ตั้งสติ ค่อยๆ เคลียร์ไปจนกระทั่งเสร็จสิ้น หันมาทำธุรกิจในสเกลที่เล็กลงมากและเหมาะสม แล้วก็ยังได้ไปวิปัสสนา
ถึงแม้จะไม่ใช่การไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก แต่การได้ไปวิปัสสนากับสำนักโกเอ็นก้า ศูนย์ฯ ธรรมกาญจนา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ถือเป็นการเดินทางเข้าไปภายในจิตใจตนครั้งสำคัญ และทำให้ชีวิตได้ทำความรู้จักกับความสงบสุขอย่างแท้จริง
คำว่า ปฏิบัติธรรม สำหรับบางคนอาจจะมีทัศนคติบางอย่างปนเข้ามา แต่อุ้มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของการผิดหวังแล้วไปหาความสงบ ไม่ใช่เลย ในห้องปฏิบัติกรรมฐานมันเป็นยิ่งกว่าสนามรบ ยากกว่าที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้อีก เพราะฉะนั้นการที่คนบางทีไม่รับคำว่าปฏิบัติธรรม เพราะบางคนไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญกับตนเอง และหลบเลี่ยงไปด้วยการเอาสิ่งอื่นกลบไว้ เอางานมากลบความว้าวุ่นบางอย่าง แล้วก็บอกว่างานคือสาระของชีวิต ต้องทำเพื่อให้มีอะไรบางอย่างยึดเกาะ หรือเอาการสนใจชีวิตคนอื่นมากลบการทำความเข้าใจชีวิตตนเอง อุ้มคิดว่าการที่คนสนใจเรื่องใครเป็นอะไรกัน ใครทำอะไร เป็นแค่การกลบเกลื่อนการกลับเข้ามาดูตัวเอง ไปสนใจคนอื่นซะ คุณจะได้ไม่ต้องสนใจตัวเองไง ซึ่งเราก็จะตายไปแบบเฉาๆ แบบเสียชาติเกิด เพราะเราอุตส่าห์ได้โอกาสในการเกิดมาแล้วนะ
รอยยิ้มรื่นในดวงตาคู่สวยของสิริยากรอาจช่วยยืนยันได้ดีว่า ทุกวันนี้เธอมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงที่นำความพอดีมาสู่ชีวิต ตื่นเช้าขึ้นมามีความสุขอย่างผ่อนคลาย แล้วพอนึกย้อนกลับไป โห ก่อนหน้านี้เราทำมากขนาดนั้นไปได้อย่างไรนี่ โคตรเหนื่อยเลย ทุกวันนี้ทำงานที่บ้าน ทำพ็อกเก็ตบุ๊คโดยไม่ต้องมีออฟฟิศ เล่มหนึ่งใช้คนไม่เกิน 5 คน แล้วก็ทำได้ ออกมาก็ขายดี เบรกอีเวนท์เร็วมาก ก็แสดงว่าเป็นโมเดลที่เหมาะสมกับกำลังของตัวเอง มีความสุข สนุกมาก และทำอะไรเอง อุ้มคิดว่าการพึ่งตนเองให้ได้มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนะคะ
นอกจากนี้ก็ยังไปช่วยงานโน่นนั่นนี่ ได้เริ่มทำอะไรเพื่อคนอื่นๆ อย่างช่วงหลังมานี้จะเห็นว่าอุ้มทำโครงการ...แบบที่ไม่ได้ค่าตอบแทน เขาจะเรียกว่าเพื่อสังคมใช่มั้ยคะ เยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะอุ้มคิดว่าถ้าเราเพียงพอแล้ว เราก็ทำไปเลย ด้วยกำลังกาย ด้วยกำลังใจที่มี เพื่อช่วยคนอื่น เพราะถ้าเราไม่เต็ม เราก็ช่วยใครไม่ได้ เรื่องพวกนี้มันต้องถึงจุดหนึ่งก่อนนะคะ และอุ้มเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าเราทำความดี มันจะมีความดีมาให้ทำ มีคนโทรฯ มาเชิญไปโน่นไปนี่เยอะมาก ซึ่งก็ต้องเลือกด้วยว่าอันไหนดีอย่างยั่งยืน อันไหนเราควรที่จะช่วยหรือไม่ช่วย และทุกครั้งไม่ว่าจะทำทานนั้นด้วยเงิน หรือด้วยกำลัง ทันทีที่หลุดจากเราไปแล้วต้องบริสุทธิ์ใจ ถ้าเคลือบแคลงปั๊บ ทานนั้นก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้แล้วก็ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำอะไรรู้มั้ย จัดระเบียบบ้าน เป็นพวก Control Freek อุ้มคิดว่าจริงๆ แล้วเราควรจัดการชีวิตให้รกน้อยที่สุด ทั้งไม่รกแบบ Physical แล้วก็แบบ Mentally ด้วย แต่อุ้มก็ไม่ใช่คนปลงนะ อย่าใช้คำนี้ ก็ยังเป็นอารมณ์แบบว่า ฮึ่ม ได้อยู่ มีทุกอารมณ์ครบ แต่เราเห็น เห็นว่า อารมณ์เสีย (หัวเราะ) เห็นว่า ฮึ้ย เห็นว่า ดีจัง มันเหมือนแยกกันออก ทำให้เราไม่เป็นเจ้าของตัวเองมาก แล้วก็ยังไม่ได้ละทางโลกนะคะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นบ้า ชอบกลิ่นหอม มีราคะจริตสูงมากกับเรื่องกลิ่น ชอบให้ห้องหอมกรุ่นผสมกลิ่นต่างๆ รูป รส กลิ่นเสียง ชอบฟังเพลง ชอบดูหนัง ยังมีอารมณ์พวกนี้หมด แต่เข้าใจว่า อ๋อ เออ กลิ่นอึกับกลิ่น Lime Basil หรือ กลิ่น Wild Fig มันก็แค่กลิ่น...เหมือนกัน เพียงแต่ฉันชอบ Wild Fig มากกว่านะ
และสำหรับหญิงสาววัย 34 ปีผู้เคยประกาศกับสื่อว่าไม่อยากแต่งงาน ความรักก็เป็นอีกเรื่องที่เธอได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ชอบมีความรัก แต่ไม่ได้อยากแต่งงาน ขี้รำคาญ ชอบที่คาลิล ยิบราล เคยพูดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความรักว่า ที่จริงแล้วความรักก็เหมือนเสาสองต้น เสาของวิหารยังต้องมีระยะระหว่างกัน อุ้มเคยมีความรักแบบต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลามาแล้ว ก็...เอ๊ะ ไม่ใช่นะ ความรักก็เป็นอีกเรื่องที่ อ๋อ เออ ตอนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็มีความสุขในระดับหนึ่งเสมอ ไม่ค่อยชอบสุขมากๆ ชอบสุขในระดับหนึ่ง
นอกเหนือจากได้สัมผัสกับความสุขในระดับพอดีๆ แล้ว การค้นพบคำตอบของคำถามเคาะกะโหลกตนเอง เกิดมาทำไม ทำให้เป้าหมายต่อไปของการมีชีวิตอยู่ชัดเจนขึ้น
เกิดมาเพื่อรู้จักตัวเอง แล้วไม่ต้องเกิดอีก อุ้มว่าเป็นคำตอบที่คงจะอยู่ตลอดไป เกิดมาเพื่อไม่ต้องเกิดอีก ถ้ายังใช้เวลาที่เขาให้มาในการยังอ่านหนังสือก๊อซซิปอยู่ (หัวเราะ) ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ แต่อันนั้นสัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตัวเอง ไม่รู้สิ You are What You Read นะ อุ้มอาจจะคิดอะไรไม่เหมือนบางคน ก็เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัว ไม่ได้บอกว่าความคิดนั้นถูกต้องหรือเปล่า แต่นี่คือสิ่งหนึ่งเลยที่ทำให้อุ้มไม่อยากเล่นละครแล้ว เพราะละครทำให้คนมีโมหะ มีความหลงสูงมากๆ อุ้มจะทำให้คนวุ่นวายสนใจอยู่กับเรื่องพวกนี้ ทั้งที่ความจริงมันก็แค่ละครเรื่องหนึ่ง แต่ต้องบอกว่าการที่ได้เคยเล่นละครมาก็มีคุณประโยชน์บางอย่าง ต้องขอบคุณสิ่งนั้นที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้
และด้วยความเป็นคนดังนั่นเองที่ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกจับตามอง และเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากก็คือการเข้ามารับหน้าที่โฆษกให้กับผู้สมัครอิสระ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ครั้งที่เป็นโมฆะไปเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว
ตอนนั้นเป้าหมายของการเข้าไปช่วย คิดแค่ว่าอยากช่วยให้ดร.แดน ได้เป็นผู้ว่ากทม. เพราะท่านเป็นผู้สมัครพรรคอิสระ และสนามกรุงเทพฯ อาจเป็นโอกาสเดียวที่ผู้สมัครไม่ต้องสังกัดพรรค คือถ้าเป็นระดับประเทศนี่ไม่ต้องพูดกัน เพราะมันเป็นเรื่องของพรรคการเมือง ไม่ได้ช่วยเพราะอุ้มอยากจะเล่นการเมืองหรืออะไร ไม่เกี่ยว เพียงแต่นี่เป็นพาร์ทหนึ่งของการได้มาซึ่งอำนาจ ก็ต้องผ่านกระบวนการทางการเมือง แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือหากท่านได้เข้าไปเป็นผู้ว่ากทม. จริงๆ สิ่งที่ท่านนำเสนอหลายเรื่อง ถ้าลองพิจาณาดูดีๆ มันแจ๋วมากเลย เป็นประโยชน์ต่อคนกรุงเทพฯ และจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีคนบอกว่า แหม อุดมคติจัง ซื่อจัง คิดเหรอว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้ คือการเมืองมันก็เป็นการเมือง เป็นแค่เรื่องอำนาจกับผลประโยชน์ แต่อุ้มคิดว่าทุกแรงที่ลงไปมันไม่สูญเปล่าหรอก ถึงแม้ว่ามันอาจจะเกิดผลบ้าง ไม่เกิดผลบ้าง แต่ไม่ช้าก็เร็ว ความชั่วร้ายจะทำลายตนเอง หรืออ่อนกำลังลงไป และคงมีโอกาสให้สิ่งดีเกิดขึ้นได้บ้าง อุ้มยังเชื่อเช่นนั้น และคิดว่าเราทุกคนก็ควรมีบทบาทบางประการในการดูแลบ้านเมือง ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่โดยพอถึงวันเลือกตั้งออกไปกากบาท การศึกษา พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็เป็นบทบาททาง การเมืองที่สำคัญ
ว่ากันว่า วังวนบางอย่างก็เย้ายวนและดึงดูด จนอดกังขาไม่ได้ถึงอนาคตความน่าจะเป็นในการก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว
อุ้มไม่สนใจการเมืองภาพใหญ่เลย ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาคุยเรื่อยๆ นะ ก็ไม่สนใจเลย แต่จะไม่มีการฟันธงอะไรทั้งนั้นนะคะ อ่านบทสัมภาษณ์นี้จบก็ลืมมันไปซะเถอะ เพราะมันเป็นบทสัมภาษณ์เกิดขึ้นตอนนี้ อุ้มในอีกสองเดือนข้างหน้าก็อาจจะเปลี่ยนความคิดไปอีก อย่าไปตีตราว่า เราต้องเป็นอย่างนี้ตลอดจนลงโลงไป เดี๋ยวบางคนจะบอก เอ้า...ไหนตอนนั้นเคยพูดไว้อย่างนั้นไง แต่ขอโทษนะสถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งเลยอุ้มคิดว่ามันคงไม่ได้ completely เปลี่ยน นั่นคืออุ้มอยากจะทำอะไรก็ได้ให้ยังประโยชน์สูงสุด
ด้วยความตั้งใจดังกล่าว จึงทำให้อุ้มพาตัวเองเข้าไปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำงานบุญเพื่อหารายได้จำนวน 50 ล้านบาทให้กับวัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับใช้ในการก่อสร้างหอปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จก็จะสามารถรองรับผู้มาปฏิบัติธรรมได้ทั้งองค์กร และนั่นหมายถึงคนจำนวนมากรุ่นแล้วรุ่นเล่าจะมีโอกาสได้พบกับธรรมะ จึงเป็นที่มาของ โครงการน้ำจิต-น้ำใจ จัดทำน้ำดื่มออกจำหน่ายในราคาคู่ละ 20 บาท (ขวดละ 10 บาท) ที่ร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายนโดยประมาณ
จริงๆ แล้วอุ้มชอบเป็นโปรดิวเซอร์นะ ชอบจัดการโน่นนี่ ก็นั่งลิสต์เลยว่าจะต้องมีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง อะไรต้องมาก่อน แล้วก็ไล่โทร.ทีละอัน เริ่มจากไปขอให้พี่สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ คิดชื่อน้ำให้ ก็ได้ชื่อมาว่า น้ำจิต น้ำใจ ซึ่งเป็นชื่อโครงการได้ด้วย จากนั้นก็โทร.หา บริษัทกราฟิกดีไซน์ ถ้าพี่ไม่กลัวเจอหนูอีกชาติหน้าก็ช่วยออกแบบฉลากให้หน่อย แล้วที่ขำคือโทร.ไปหาพระอาจารย์ ขอให้ช่วยเขียนข้อความที่จะอยู่ข้างขวดให้หน่อยได้มั้ยคะ พระอาจารย์ก็ตอบมาว่า copy น่ะเหรอคุณโยม (หัวเราะสนุก) สิ่งที่ทำทั้งหมดก็มาจากประสบการณ์ของเรานี่ล่ะ ตอนทำบ้านอุ้มลิฟวิ่งเดย์ เคยทำน้ำดื่ม ก็เลยรู้ว่าการทำน้ำต้องทำยังไง ทำให้เรา พบว่าบางทีถึงจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในอะไร แต่ก็ได้เรียนรู้เยอะมาก ทุกอย่างมันสร้างต้นทุนความรู้ แล้วก็นำกลับมาใช้ได้หมดเลย
และเมื่อปีใหม่มาเยือน แผนชีวิตที่วาดไว้จะเป็นอย่างไรต่อไป อุ้มตอบได้เพียงว่าสำนักพิมพ์ OOM ก็ยังคงมีแผนออกหนังสืออีกหลายเล่มภายใต้กำลังกายและกำลังเงินที่พอเหมาะพอเพียง
ปีนี้จะอายุ 35 แล้ว ลองนึกดูนะคะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตอนอายุ 35 ท่านใช้เวลาอีกที่เหลือจนอายุ 80 ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นช่วงเวลา 45 ปีที่ยังอีกยาวไกล เราเองก็ยังทำอะไรได้อีกเยอะเลย เพียงแต่สำหรับอุ้มความทะเยอทะยานส่วนตัวเอง ชื่อเสียง เงินทอง มันไม่ได้เป็นไปในทางโลกแล้ว ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องมีชื่อเสียงเพื่อเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสัก 10 ตัว เพื่อให้ได้เงินมาเยอะๆ นั่นไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต เพราะอย่างที่บอกว่าเป้าหมายในชีวิตคือการหลุดพ้นไปเลย แล้วอุ้มก็อธิษฐานให้ทุกคนหลุดพ้นให้หมด คือนอกจากขอให้สุขภาพแข็งแรง เดี๋ยวนี้ก็อธิษฐานเพิ่มด้วยว่าขอให้ทุกคนได้พบธรรมะ และหลุดพ้นกันให้หมด ดีกว่าอีก ส่วนแผนการอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามาเอง บางทีเราก็ยังไม่รู้หรอก
เป็นคำตอบจากคนที่รู้จัก และเข้าใจตนดีพอ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรจะผ่านเข้ามาก็พร้อมรับเสมอ อย่างเรื่องสุขภาพ ก่อนหน้านี้เข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด เชื่อมั้ย ที่ผ่าตัดเพราะต่อมน้ำเหลืองโต แล้วหมอสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือเปล่า วันที่ได้ยินหมอพูดแบบนี้ คิดเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตายก็ตาย ถ้าตายปุ๊บ เกิดใหม่ ฉันจะปฏิบัติธรรมต่อทันที ถ้าชีวิตนี้มีเวลาแค่นี้ที่ให้ได้ทำ ชีวิตหน้าก็ทำต่อ จบ
การได้พบธรรมะ การปฏิบัติธรรม มันทำให้เราเผชิญกับอะไรต่อมิอะไรแบบนี้ได้ แต่ก็มีนะคะวันที่แบบ...ร้องไห้เลย กลัว เพียงแต่ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นคือ อืม เลวร้ายที่สุดคืออะไร แล้วก็เห็น...เห็นก่อน แต่สุดท้ายผลตรวจออกมาปรากฏว่าไม่เป็นอะไร อาจเป็นเพราะภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ต่อมน้ำเหลืองมันก็เลยโต ตอนนี้ก็ดูแลตัวเองต่อไป กินผักผลไม้เยอะมาก ออกกำลังกาย ทำวิปัสสนา ก็สบายใจดี
เมื่อได้ค้นพบแล้วถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ ระยะทางอีกกว่าครึ่งชีวิตที่เหลือก็คงไม่ยากเย็นเท่าไร เพียงแค่เดินไปตามเส้นทางของการรู้จักใจตน โดยไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่แบ่งปัน

ขอขอบคุณ นิตยสาร Women Plus

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ภูฏาน ขอประเทศไทยเป็นพี่เลี้ยงเวทีโลกร้อน

เนื่องจากภูฏานอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสนอต่อสหประชาชาติ จะพาคณะของภูฏานไปศึกษาดูงานโครงการ "แก้มลิง" ที่ จ.สมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) น.ส.เพลดอน ซริงริง รองประธานคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อม ประเทศภูฏาน พร้อมเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมและเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของภูฏาน เดินทางเข้าพบคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วท. เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน อนาคต

โดย คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ที่ผ่านมา วท. และประเทศภูฏานได้ลงนามความร่วมมือในการนำวิทยาศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ด้าน ต่างๆ แต่ครั้งนี้ ภูฏานต้องการให้ประเทศไทยเป็นพี่เลี้ยงในการแนะนำการรับมือกับการเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน เนื่องจากภูฏานอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเสนอ ต่อสหประชาชาติ

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ดังนั้น ในวันที่ 29 มิ.ย. ตนได้มอบหมายให้ ผศ.ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษา รมว.วท. และนายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สสนก. เป็นตัวแทนประเทศไทย พาคณะของภูฏานไปศึกษาดูงานโครงการ "แก้มลิงอเนกประสงค์ คลองสนามชัย-มหาชัย กรุงเทพมหานคร-สมุทรสาคร" ที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คุณหญิงกัลยา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ประเทศไทยและภูฏานจะมีความร่วมมือในการทำวิจัยด้านต่างๆ อาทิ ความหลากหลายทางชีวภาพ การหาพืชสมุนไพรรักษาโรค หรือการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ทางการแพทย์ด้วย

วันอังคารที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ทักทายครับ

ถามเล่นๆนะครับ
คุณคิดว่าเงินกู้8แสนล้านจะช่วยประเทศไทยได้ไหม?
คุณคิดว่าควรทำอะไรกับเงินกู้8แสนล้านดี? อย่างไหนสำคัญก่อน หลัง?

ไม่ได้ต้องการคำตอบนะครับ แต่ใครจะแสดงความคิดเห็นก็ขอให้พอดีอย่าก้าวล่วงเกินกว่าเหตุ ที่สำคัญอย่าหยาบคาย อย่ากระแนะกระแหนกันนะครับ สามัคคีคือพลัง

วันอาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท


มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาทอย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจงอย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน


สุภาษิตคำกลอนนี้จำขึ้นใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ดูเหมือนเราก็จะได้แต่ท่องอยู่ในใจนั่นเอง ไม่ได้นำมาปฏิบัติตามกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักเท่าไร
ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่า แม่จะจูงมือไปธนาคารออมสินปีละครั้งสองครั้ง
ครั้งหนึ่งคือ ในวันเด็ก ซึ่งแม้จะเป็นวันเสาร์ ออมสินเขาก็จะเปิดให้บริการครึ่งวัน ให้เด็ก ๆ ฝากเงินกันคนละ 5 บาท 10 บาท แล้วก็ได้กระปุกออมสินมาเป็นที่ระลึก
อีกครั้งหนึ่ง คือ วันสถาปนาธนาคารออมสิน ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายนของทุกปี เขาก็จะแจกกระปุกออมสินเหมือนกัน แต่บางปีก็ไม่ได้ไป เพราะไม่ใช่วาระพิเศษของเด็ก ๆ
ปีนี้ ธนาคารออมสินอายุ 96 ปีแล้ว..
ใครยังมีกระปุกออมสินที่ได้มาตั้งแต่สมัยยังเด็ก หรือมีสมุดบัญชีเงินฝากที่พ่อแม่เคยจูงมือไปฝากเงินให้ เหลืออยู่บ้าง ยกมือขึ้น..
หลายคนบอกว่า จะบ้าหรือไง..อย่าว่าแต่กระปุกออมสินเก่า ๆ หรือสมุดเงินฝากเปื่อย ๆ เลย เอาแค่บัญชีเงินฝากธนาคารทุกวันนี้ ก็แทบจะไม่เหลือเงินติดบัญชีอยู่แล้ว..
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล เจ้าของรางวัลนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่คนล่าสุด ของสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ ศึกษาพบว่า ในประเทศไทยมีบัญชีเงินฝากธนาคารอยู่ราว 70 ล้านบัญชี แต่มีอยู่ถึง 68 ล้านบัญชี ที่มีเงินเฉลี่ยอยู่เพียงบัญชีละ 4,000 บาทเท่านั้น...!!!
และเมื่อสำรวจพฤติกรรมการออมของคนไทยทั่วประเทศ ยังพบว่า 50% ของครัวเรือนไทย มีการออมติดลบ
หมายความว่า ถ้าถามประชาชนทุก ๆ 2 คน จะมีคนตอบว่าไม่มีเงินออมมากกว่า 1 คน..!!
ที่น่าแปลกก็คือ คนไทยไม่รู้วิธีออมเงิน.. มิหนำซ้ำ ยังไม่รู้ตัวด้วยว่าตัวเองไม่รู้..!!หลายคนบอกว่า เงินเดือนที่ได้มาก็ผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารอยู่แล้ว แต่ละเดือนที่เราใช้ไม่หมดมันก็เป็นเงินออมไม่ใช่หรือ..?
คำตอบ คือ ไม่ใช่จ้ะ..!
ลองนึกภาพตอนที่เราอายุ 60-70 ปี ไม่ได้ทำงานมีรายได้ประจำแล้ว ครั้นจะแบมือขอเงินลูกหลานทุกเดือนก็คงกระดากอาย เงินที่เหลือติดบัญชีเงินเดือนอยู่จะพอใช้ได้อีกสักกี่เดือน..!?
เพราะฉะนั้น ถ้าจะไม่ให้ ต้องยากนาน ในวัยชรา ก็ต้องเริ่มเก็บออมเสียแต่วันนี้..
สมมุติว่าเรามีเงินเดือน 10,000 บาท ตั้งใจจะออมสักเดือนละ 1,500 บาท คิดเป็น 15% ของเงินเดือน วาดฝันว่า 1 ปีจะมีเงินเก็บ 18,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย.. ถึง 10 ปีก็มี 180,000 บาทแล้ว
จะเก็บออมเพิ่มขึ้นก็ยังได้ เพราะทำงานไปนาน ๆ เข้า เงินเดือนเพิ่มเป็น 20,000 บาท เก็บเดือนละ 3,000 บาท ก็ 15% เท่าเดิมนั่นเอง ยังเหลือไว้ใช้ได้ตั้ง 17,000 บาท
แต่จนแล้วจนรอด ไอ้ที่วาดฝันไว้ ก็ไม่เป็นจริงเสียที..
บางครั้งผ่านไป 2-3 เดือน มีเงินเหลือสัก 3-4,000 บาท ก็เบิกมาใช้โน่น ซื้อนี่เสียแล้ว ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
พอมันทำไม่สำเร็จ พลอยเลิกไปเลย ไอ้ที่จะเก็บเดือนละ 1,500 ก็ไม่ได้เก็บเสียแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกที..
ลองเปลี่ยนวิธีใหม่ดีกว่า..เคล็ดลับการออม ก็คือต้องแยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีใช้จ่ายประจำโดยเด็ดขาดและต้องออมก่อน ใช้ทีหลัง
ไม่ใช่เงินเดือนออกมา ก็ใช้ก่อน เหลือเท่าไรค่อยเก็บออม รับรองไม่เหลือจ้ะ..
ถ้าตั้งใจจะเก็บเงินเดือนละ 1,500 บาท พอเงินเดือนออกก็เบิกเงินจำนวนนี้ไปใส่บัญชีแยกต่างหากไว้เลย และควรเป็นบัญชีเงินฝากประจำ หรือบัญชีที่ไม่มีบัตร ATM
และถ้าเก็บเดือนละ 1,500 บาทไม่ได้ ลองเก็บวันละ 50 บาทได้ไหม..?
หยอดกระปุกออมสินไว้ให้ครบเดือนแล้วค่อยเอาไปใส่ธนาคารก็ได้ เหมือนวิธีการของกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ที่ชาวบ้านเขาตั้งสัจจะเก็บเงินวันละบาทนั่นไง..
สำหรับคนที่ออมเงินได้อยู่แล้ว แต่เห็นว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารสมัยนี้มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก ก็ลองมองหาวิธีการออมในรูปแบบอื่น ๆ ที่มีให้เลือกมากมาย และให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก รวมทั้งมีความมั่นคงสูงพอสมควร เช่น พันธบัตร หรือกองทุนต่าง ๆ เป็นต้น โดยแยกเงินออมออกเป็นหลาย ๆ ส่วน เพื่อกระจายความเสี่ยง
แต่ที่สำคัญ คือ ต้องเริ่มออมเสียแต่วันนี้ เพราะไอ้ที่มันยากก็ตอนเริ่มต้นนี่แหละ

วันพุธที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ต้นกล้าเศรษฐกิจพอเพียง

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ....ทรงห่วงใยเด็กและเยาวชนในเขตพื้นที่ห่างไกล พระราชทานแนวทางและพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกันเสริมสร้างปัจจัย ความอยู่ดีมีสุข ของราษฎร


โดยเฉพาะ การจัดตั้งกลุ่มยุวเกษตรกรในโรงเรียน และ เยาวชนนอกโรงเรียน กลุ่มต่างๆ ตามแนวคิดกระบวนการสร้าง ยุวเกษตรกรอาสาต้นกล้าเศรษฐกิจพอเพียง...เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในอนาคต


สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ราชบุรี (สสข.ที่ 2) จึงร่วมกับ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครปฐม ดำเนินการ ฝึกอบรมแกนนำศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน ขึ้น ณ โรงเรียนวัดเกาะวังไทร อ.เมือง จ. นครปฐม เพื่อถ่ายทอด ทักษะพื้นฐานด้านการเกษตร และ ถ่ายทอดความรู้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงสู่เด็ก และประชาชน


คุณสุพจน์ แสงประทุม ผอ.สสข.ที่ 2 บอกกับสื่อมวลชนว่า...การจัดอบรมแบ่งจัดเป็น 5 รุ่น ผ่านไปแล้ว 3 รุ่น วันนี้ (7 เมษายน) กับวันที่ 8 เป็นรุ่นที่ 4 และในวันที่ 9-10 เมษายน เป็นรุ่นที่ 5


ผู้เข้าอบรมประกอบด้วย ครูเกษตร คณะกรรมการสถานศึกษา เกษตรตำบล หมอดินอาสา กับ นักเรียนแกนนำด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง พัฒนาที่ดิน โรงเรียนละ 4 คน ในพื้นที่ 8 จังหวัด ภาคตะวันตก จำนวน 64 โรงเรียน.... รวมทั้งหมดแล้วประมาณ 413 คน


สำหรับกิจกรรมในการอบรมก็จะมีการถ่ายทอดความรู้ด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง พัฒนาที่ดิน ด้านแมลงและการป้องกันกำจัดศัตรูด้วยชีววิธี การจัดทำบัญชีฟาร์ม


ที่ขาดไม่ได้คือทัศนศึกษานอกสถานที่ในจังหวัดสุพรรณบุรี ณ อุทยานผักพื้นบ้าน เพื่อการยังชีพเฉลิมพระเกียรติ กับสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ


คาดว่า ผู้ที่ผ่านการอบรมจะนำความรู้ เข้าสู่การเป็นแกนนำด้านการเกษตร แบบเศรษฐกิจพอเพียง ไปขยายผลให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองได้นำไปประกอบอาชีพ และชีวิตประจำวัน


นอกจากนี้.....ทาง สสข.ที่ 2 ยังสนองแนวนโยบาย นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ใน การปรับกระบวนการทำงานของบุคลากรให้มีประสิทธิภาพ สามารถสนับสนุนการทำงานในทุกระดับ ทั้งหน่วยงานภายใน-ภายนอก และงานที่ต้องสัมผัสกับเกษตรกรโดยตรง


เป็นการ...บูรณาการการทำงานแบบมีส่วนร่วมทั้งแนวตั้งและแนวราบ ทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น โดย มีการประชุมร่วม กันระหว่าง เจ้าหน้าที่เกษตร กับ เจ้าหน้าที่ อบจ. เทศบาล และ อบต. ไปแล้ว 3 รุ่น ที่จังหวัดกาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และราชบุรี


ซึ่งในอันดับต่อไป จะจัด อบรมสัมมนาแก่เกษตรตำบล ทั้ง 8 จังหวัด ให้ทุกคนมีความสามารถพัฒนาการเกษตร ในท้องถิ่นที่ตนรับผิดชอบแบบบูรณาการเพื่อให้ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของแต่ละจังหวัด....ตามทิศทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง...!!

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอังคารที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

หนุนเกษตรกรปลูก 'มะเขือเทศราชินี' ป้อนตลาด...

ขณะนี้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรม (ส.ป.ก.) ส่งเสริมเกษตรกรใน เขตปฏิรูปที่ดินพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นครสวรรค์ นครปฐม ให้ปลูกมะเขือเทศราชินีและแตงแคนตาลูปในรูปแบบคอนแทร็กฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) เพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่ตลาดซึ่งกำลังมีความต้องการสูง ทั้งตลาดโมเดิร์นเทรดและตลาดทั่วไป ซึ่งผู้บริโภคนิยมรับประทานมะเขือเทศราชินีผลสดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งยังใช้เป็นส่วนประกอบของสลัดและเป็นของว่างด้วย

ส.ป.ก. คัดเลือกพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมนำร่อง กว่า 50 ไร่ในจังหวัดเพชรบูรณ์และนครสวรรค์และเร่งคัดเลือกเพิ่มเติมอีกเพื่อให้มีพื้นที่ปลูกหมุนเวียน 300-500 ไร่/ปี เกษตรกรประมาณ 300-500 ราย ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด ในรอบ 1 ปี เกษตรกรสามารถที่จะปลูกมะเขือเทศราชินีได้ถึง 3 รอบการผลิต ต้นทุนประมาณ 15,000 บาท/ไร่ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วคาดว่า เกษตรกรจะมีกำไรเหลือ 7,000-10,000 บาท/ไร่

หลังปลูกมะเขือเทศราชินีประมาณ 90 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 2,000-4,000 กิโลกรัม/ไร่ ขึ้นอยู่กับระบบการจัดการแปลงของเกษตรกร สำหรับแตงแคนตาลูปมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 35,000 บาท/ไร่ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเกษตรกรจะมีกำไรเหลือประมาณ 20,000-30,000 บาท/ไร่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทางเลือกสำหรับการสร้างอาชีพของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งจะทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชนบทและช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนด้วย

กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มะเขือเทศราชินีเป็นผลไม้ไทยที่มีสารเบต้าแคโรทีน วิตามิน ซี และวิตามินอีสูง ซึ่งเป็นกลุ่มของสารอาหาร ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิด การอักเสบทำลายเนื้อเยื่อโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ในร่างกาย ช่วยยับยั้งการกลายพันธุ์ในเซลล์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ ดังนั้น จึงควรรับประทานผลไม้ดังกล่าว เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวเสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย อาทิ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่ เป็นต้น ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอรี่ มะละกอสุก ส้มโอขาวแตงกวาและพุทราแอปเปิ้ล

“วิตามินอีมีในผลไม้ไม่มากนัก เพราะผลไม้ไม่ใช่แหล่งของวิตามินอี การศึกษานี้พบ ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ ขนุน หนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำสุก แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตรอเบอรี่และกล้วยไข่” นางนัทยา กล่าว

ทั้งนี้ ผลไม้ประเภทเดียวกันแต่สีไม่เหมือนจะมีไม่เท่ากัน เช่น แคนตาลูปเนื้อสีเหลืองมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน มากกว่าแคนตาลูปเนื้อสีเขียว นอกจากนี้พบว่า ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิ้ล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

สำหรับเบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ตัวก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้

จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน.

วันพุธที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

3 ห่วง 2 เงื่อนไข กุญแจความพอเพียง

อยากให้เชื่อมั่นว่า...แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จะทำให้คนไทยผ่านพ้นระบบเศรษฐกิจปัจจุบันที่ผันผวนไปได้

สุรชัย มรกตวิจิตรการ หรือ เฮียแดง เกษตรกรตัวอย่างตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ต.บ้านโป่ง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ บอกว่า แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง... หลายคนยังสับสน เข้าใจว่าใช้ได้เฉพาะเกษตรกร ทำการเกษตร เลี้ยงกบ เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่

“ความจริงไม่ใช่...” เฮียแดง ว่า “แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางของในหลวง มีหลักใหญ่อยู่ 3 ส่วน กับ 2 เงื่อนไข...หากน้อมรับไปใช้ในครอบครัว ชุมชน อำเภอ จังหวัด ประเทศ มั่นใจว่าทุกอาชีพสามารถใช้ได้ผล”

ปี 2540 ช่วงฟองสบู่แตก สุรชัยเป็นพ่อค้า มีหนี้สินก่อตัวมากมหาศาลก็พยายามแก้ปัญหาดิ้นรนทุกวิถีทาง พอเข้าปี 2542 ไม่มีอะไรดีขึ้น...

ผันชีวิตเข้าสู่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่

นับจากได้รับการฝึกอบรมการใช้ชีวิตวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ถึงวันนี้ 7 ปีแล้ว แม้ว่ายังมีหนี้สินเหลืออยู่ แต่ก็เหลือไม่มาก

แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ครอบครัวสุรชัยมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก

จุดมุ่งหมายแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเกี่ยวโยงถึงประชาชนส่วนใหญ่ กว่าร้อยละ 80 เป็นเกษตรกร มีสภาวะความเป็นอยู่ไม่ดี มีหนี้สิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงชี้ถึงแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงว่า จะต้องเริ่มจากการยังชีพไปสู่ การเลี้ยงชีพ

“วัตถุนอกกาย เงิน รถ ทีวี มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกสารพัด ถามว่าถ้าไม่มีมันตายไหม ก็คงไม่ตาย แต่อาจจะลำบากสักหน่อย

แต่สิ่งที่เราตื่นขึ้นมาแล้วต้องหาก็คืออาหาร ตราบที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ปากมันไม่หยุด อย่างน้อยก็ต้องกินวันละ 3 มื้อ”

ในหลวงท่านชี้ว่า เราต้องเริ่มช่วยเหลือตัวเราเองก่อน ด้วยการลดหนี้สินก้อนใหญ่ของชีวิต รวมพลังในครอบครัวที่อาจจะมีหน้าที่หลักมากน้อยตามอาชีพ ใช้เวลาว่างช่วงเย็นวันเสาร์อาทิตย์รวมพลังกันลดหนี้สินก้อนนี้

“สำรวจดูซิว่าพื้นที่บ้านเราพอมีไหม สวนเราพอมีไหม ค่อยๆปลูกพืช ผัก เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลาไปทีละน้อย”

อยากจะพิสูจน์แนวทางของพระองค์ท่าน...ลองหากระบอกไม้ไผ่ แขวนไว้ฝาบ้าน แล้วลองหาความรู้ปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงกบ ไก่ หมู ที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำให้ระบบนิเวศเสียหาย

ถ้าเอาของที่ผลิตขึ้นมาประกอบอาหาร แจกจ่ายให้ญาติพี่น้อง เอาไปทำบุญ ก็ให้คิดเป็นตัวเงิน แล้วเอาเงินจำนวนนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ วันนี้ตัดผักกาดทำกับข้าว 5 บาท เอาไข่ เอาไก่ เอาปลา เอาเห็ดมากิน...เท่าไหร่ก็ใส่ไว้

ครบปีเปิดกระบอกไม้ไผ่ดูจะได้เงินก้อนใหญ่ เอาไปลดหนี้สิน หรือจะเอาไปใช้ลงทุนส่งลูกหลานเรียนหนังสือก็ได้

การช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นก็คือ การลดต้นทุน

เกษตรกรทั่วประเทศไทยกว่าร้อยละ 80 เป็นไปได้ไหมว่า...ก่อนที่จะทำการเกษตร อย่าใช้เงินนำหน้า แต่ให้ใช้ความรู้นำหน้า

ก่อนที่จะปลูก จะทำอะไร...ให้ไปหาความรู้ในการลดต้นทุนเสียก่อน ทำปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุในท้องถิ่น น้ำหมักชีวภาพ ปลูกแฝกบำรุงดิน อุ้มน้ำ ปรับสภาพความเป็นกรดด่าง ป้องกันการชะล้างหน้าดิน

ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เกิดการลดต้นทุน สองสามปีที่แล้ว สุรชัยไปเป็นวิทยากรให้กับเกษตรกรปลูกกระเทียมที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการทำปุ๋ยใช้เอง ช่วยลดการใช้ปุ๋ยจากปีละ 24 กระสอบ เหลือแค่ 7 กระสอบ เคยลงทุนกว่า 20,000 บาท ลดเหลือ 8,000 กว่าบาทเท่านั้น และยังให้ผลผลิตดีเหมือนเดิม

หากทำเช่นนี้ต่อไป ผืนแผ่นดินจะมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น สารเคมีตกค้างก็ลดลง ต้นทุนชีวิตจะดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เสี่ยงต่อสารเคมี

แน่นอน เมื่อต้นทุนการผลิตต่ำลง หากราคาผลผลิตไม่ดี ก็ไม่มีสภาวะขาดทุนมากเท่าไหร่

“นี่คือการเริ่มต้นจากการยังชีพไปสู่การเลี้ยงชีพ” สุรชัย ว่า

ย้อนกลับมาดู 3 ห่วงกับ 2 เงื่อนไข แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง

ห่วงแรก...การรู้จักพอประมาณตนเอง รู้จักต้นทุนชีวิตตัวเองว่ามีฐานะอย่างไร ควรจะทำอะไรบ้าง สิ่งที่ทำลงไปก็ต้องรู้จักพอประมาณ ไม่ใช่มีที่ทางก็เอาไปค้ำประกันกู้เงินมาลงทุน เขาให้กู้เท่าไหร่ก็กู้มาหมด ต้องคิดก่อนว่า ถ้าผลผลิตไม่ดีจะมีปัญญาใช้หนี้ไหม

“จะทำอะไร ต้องตั้งอยู่ในพอประมาณตนเอง” เฮียแดงย้ำ

ห่วงที่สอง...ต้องมีเหตุมีผล เป็นไปได้ไหม แต่ละครอบครัวหรือแต่ละกลุ่ม มานั่งคุยกัน ปัญหาทุกวันที่เรามีภาวะความเป็นอยู่ไม่ดีเป็นเพราะอะไร ใช้จ่าย เกินตัวไหม เป็นเพราะอาชีพเราไม่มีความรู้พอใช่ไหม

หรือว่าใช้จ่ายแบบประหยัดแล้ว แต่ยังมีภาวะความเป็นอยู่ที่ไม่ดี ก็ต้องหาต่อไป

ห่วงสุดท้าย ห่วงที่สาม...สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง

เฮียแดงยกตัวอย่างแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พื้นที่บ้านมี 2 งานกว่า หลังอบรมจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ตั้งแต่ปี 2542 ก็คิดว่าถ้าใช้พื้นที่ปลูกพืชอย่างเดียว พื้นที่แค่นี้ยังไงก็ไม่พอกิน

เฮียแดงมีลูกสาว 3 คน ทุกคนเรียนหนังสือ คนโตกับคนกลางเรียนมหาวิทยาลัย คนเล็กอยู่ชั้น ม.6 เฉพาะค่าเทอม รวมแล้ว 4-5 หมื่นบาท

ภรรยาถึงจะมีรายได้จากการทำงาน แต่ก็ไม่พออยู่ดี

เฮียแดงคิดว่า ถ้าทำเกษตรผสมผสาน พืชสวนครัว ไม้ผล เพาะเห็ด เลี้ยงกบ เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู ทำกล้าไม้ในบางช่วงที่มีเวลา น่าจะทำให้ มีรายได้ก่อเกิดขึ้นมามากกว่า

“การทำให้เกิดรายได้เลี้ยงครอบครัวได้...เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง”

เกษตรกรขาดภูมิคุ้มกัน เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่จะปลูกพืชเชิงเดี่ยว ถ้าหาความรู้ในการผลิตผลผลิตอย่างอื่นมารองรับเป็นพืชรองสัก 2-3 อย่าง หรือไม่ก็เลี้ยงสัตว์ควบคู่กันไป วันไหนพืชหลักไม่ดี สร้างรายได้ไม่มาก ก็ยังมีพืชรองเข้ามาเสริม มีเงินหมุนเวียน

เมื่อรวมทั้ง 3 ห่วงเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องตั้งอยู่บนฐานนี้

ส่วนสองเงื่อนไขที่เหลือก็คือ...ความรู้ คู่คุณธรรม

ครอบครัวที่มีความยากจนมาก มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ดี เป็นเพราะว่าใช้เงินนำหน้า ปัญญาตามหลัง เรามากลับกันได้ไหม เอาความรู้นำหน้า และเอาเงินตามหลัง

ก่อนที่จะทำอะไร ต้องหาความรู้ก่อน สิ่งที่จะผลิตมีตลาดรองรับไหม ต้นทุนเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ ถ้ารู้ว่ามีกำไรแน่นอน มีตลาดรองรับแน่นอน จะกู้ 10 ล้าน 100 ล้าน จะจ้างคนเป็นพันๆ จะเช่าที่เป็นหมื่นๆไร่มาทำก็ได้ จะรวยในวันเดียวก็ได้ ไม่มีใครห้าม

ประเด็นสำคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ สิ่งที่ทำจะเกิดผลประโยชน์...หรือก่อหนี้สิน

เงื่อนไขสุดท้าย...คุณธรรม อย่างน้อยๆก็ต้องมีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ชุมชนไหนรวมตัวกันได้ มีการร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ด้วยภาวะหนี้สินทำให้คนในปัจจุบันไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้ เห็นแก่ตัวกันมาก รวมตัวกันไม่ค่อยได้

ชุมชน ครอบครัวไหน จะประสบความสำเร็จบนแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ จะต้องมีการระเบิดจากข้างใน ต้องเกิดจากจิตสำนึก

ผู้รู้ท่านหนึ่งเขียนไว้ เมื่อไม่ได้พัฒนาด้านจิตใจ จะพัฒนาด้านใดๆก็ไร้ผล การพัฒนาจะต้องเริ่มที่ใจคน จะเกิดผลพัฒนาที่ถาวร ซึ่งก็คือการระเบิดจากข้างใน

หน่วยงานต่างๆที่ดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอดระยะเวลา ส่วนมากมีทั้งงบประมาณ โครงการและแผน แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

เป็นเพราะอะไร ก็น่าจะเป็นเพราะไม่มีการจุดระเบิดมาจากด้านใน

ถึงเวลาก็จะเอาโครงการลงไปสู่ชุมชน ทำไปปุ๊บก็เก็บผลงานส่งกลับไป สู่ส่วนกลาง สิ้นสุดงบประมาณแผนก็ล้มไปหมด

แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านจึงมีคำว่า ค่อยเป็นค่อยไป

“ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อจุดประกายให้ชุมชนต่างๆน้อมรับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปได้ด้วยใจ ไม่ใช่ว่าน้อมรับไปเพราะต้องการงบประมาณ”

ประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เฮียแดงฝากทิ้งท้ายไว้ให้คิด ให้ทำ เพื่อผลักดันขยายผลแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงให้ประสบความสำเร็จได้ ในผืนแผ่นดินไทย.

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก...(นานมากแล้วจำไม่ได้)

วันพฤหัสบดีที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เกษตรกรยุค SM

ตลาดสินค้าเกษตร.....จำแนกออกหลายระดับ คือมีตั้งแต่ระดับท้องถิ่นแบกับดิน จนถึง ชั้นสูงเข้าห้องแอร์ซื้อขายกันล่วงหน้า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้า

และหากจะมองถึงรูปแบบโดยทั่วไป ก็มีหลายแห่งหลายสถานที่ ซึ่ง เกษตรกรนำสินค้ามาขายแก่ผู้รับซื้อ บางแห่งก็มักจะมีปัญหาในเรื่องของราคาที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากเกษตรกรไม่ทราบสถานการณ์

เพื่อลดปัญหาที่เรื้อรังมาอย่างต่อเนื่อง ตลาดไท อันเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าเกษตรและอาหารทั้งระบบขายส่งและขายปลีก จึงได้นำข้อมูลราคาสินค้าเกษตรใส่ลงในเว็บไซต์ ตลาดไทดอทคอม www.talaadthai.com รายงานความเคลื่อนไหวของ ราคาสินค้าเกษตร ในแต่ละวัน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

แต่ก็มีปัญหา สำหรับกลุ่มผู้ที่เป็น เกษตรกร ผู้ค้า และ รถเร่ ที่ต้องการทราบข้อมูล...เนื่องจากไม่มีสถานที่เหมาะสม ขาดคอมพิวเตอร์ให้เปิดเข้าไปดูเว็บไซต์

นายพีระพงศ์ สาคริก รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด (ตลาดไท) จึงปรับรูปแบบการพัฒนา เพื่อให้ทุกกลุ่มได้เข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจนแท้จริง และประหยัด ด้วยการนำระบบ ซอฟต์แวร์ ในการส่งข้อความ ราคาสินค้าเกษตร ผ่านระบบ SMS ทาง โทรศัพท์มือถือทุกระบบ....โดยให้บริการมาตั้งแต่ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา

...ข้อมูลที่ได้นำเสนอผ่าน SMS นี้ เจ้าหน้าที่จะออกสำรวจ ราคาสินค้าในตลาดไท ก่อนเวลา 12.00 น. จากจำนวนผู้ซื้อ-ผู้ขายหลายร้านหลายแผง ทำให้เกิดชัดเจนและแน่นอนทุกวัน ก่อนรายงานข้อมูล

สมาชิกที่ต้องการรับทราบข้อมูล มีการแบ่งแยกเป็น 2 ประเภท คือ สมาชิกข้อมูลราคา สินค้าทางเว็บไซต์ (แบบเดิม) จะได้รับบริการข้อมูลราคาสินค้าเกษตรผ่านเว็บไซต์และ SMS จำนวน 3 รายการต่อวันและ สามารถเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าได้ด้วยตนเอง

กับ สมาชิก SMS...ผู้สมัครสามารถติดต่อผ่านทางโทรศัพท์ หมายเลข 0-2908-4490-9 ต่อ 276,265 จะได้รับข้อความราคาสินค้าเกษตรผ่านโทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 รายการต่อวัน เช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโปรแกรมให้สามารถดู ราคาสินค้าย้อนหลังได้ถึง 3 ปี เพื่อนำไปประกอบการวิเคราะห์ราคาสินค้า รวมทั้งจะเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับ ราคาปุ๋ยเคมี ยา และสถานที่ติดต่อซื้อขายได้เพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย

...การที่เกษตรกรผู้ผลิต ได้รับข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่แท้จริงชัดเจน ก็สามารถ มีปากมีเสียง มีอำนาจ ในการ ต่อรองเจรจาซื้อขายสินค้า กับ พ่อค้าคนกลาง...ได้ทันท่วงที

ก็....เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเกษตรกร ที่จะยืนหยัดการผลิตสินค้าเกษตรบนฐานข้อมูล....โดย ไม่หมิ่นเหม่ต่อความเสี่ยง...!!!
ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอังคารที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

รถพันธุ์ใหม่ 56 กม./ลิตร ประหยัดพลังงาน


สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ก้าวพ้นความฝันเฟื่องสู่นวัตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ด้วยสิ่งประดิษฐ์ รถยนต์พลังไฮโดรเจน ประหยัดพลังงาน 56 กิโลเมตรต่อลิตร

จากช่างเทคนิคลูกทัพฟ้าสู่พ่อมดแห่งนาซา นักประดิษฐ์ผู้ไม่ยอมแพ้ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พัฒนาอุปกรณ์แยกไฮโดรเจนจากน้ำที่สามารถไปติดตั้งไว้ในรถยนต์ได้เลย ทำให้รถยนต์สามารถใช้พลังน้ำแทนน้ำมันในการขับเคลื่อนได้สำเร็จ

"จุดประสงค์ที่คิดค้นเกิดจากอยากให้โลกรู้ว่า น้ำสามารถเป็นพลังงานทดแทนได้ในอนาคต จึงได้พัฒนาอุปกรณ์ตัวนี้ขึ้นมา นอกจากนี้รีแอคเตอร์ยังเป็นตัวแก้ปัญหามลพิษ สภาวะปัญหาของโลกในปัจจุบันที่เกิดสภาวะโลกร้อน เพราะการใช้น้ำมาเป็นพลังงานเป็นเชื้อเพลิง จะทำให้ลดภาวะโลกร้อนและแก้ปัญหามลพิษไปด้วย ผลงานชิ้นนี้จะไม่ใช่ชิ้นแรกและชิ้นสุดท้าย ขอให้คนไทยเป็นกำลังใจให้ผมและทีมงานทำหน้าที่ต่อไปให้สำเร็จ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป" นายสุมิตรกล่าว

"สุมิตร" เล่าถึงที่มาของแนวคิดในการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อนำเอาพลังงานน้ำมาใช้ว่า ตั้งใจทำให้คนไทยและโลกรู้ว่าน้ำเป็นพลังงานทดแทนได้ เพราะน้ำมีพลังงานมหาศาล แต่ยังไม่มีใครนำพลังงานของน้ำมาใช้อย่างเต็มที่

เทคโนโลยีพลังงานไฮโดรเจน อาศัยหลักการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า ทำให้ได้ก๊าซไฮโดรเจน 2 อะตอม และ ออกซิเจน 1 อะตอม โดยใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า "รีแอคเตอร์" เป็นตัวแยก เมื่อนำไปติดตั้งกับรถยนต์จะใช้ไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรี่รถ 12 โวลต์ เข้ามาทำการแยกโดยขั้วบวกจะมีปฏิกิริยาของออกซิเจน ขั้วลบจะเป็นปฏิกิริยาของไฮโดรเจนในการแยกโมเลกุลน้ำ และได้ไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิง แล้วส่งเข้าไปสันดาปในเครื่องยนต์

จุดเด่นของ "รีแอคเตอร์" คือ ปฏิกิริยาการแยกน้ำจะเกิดขึ้นทีละน้อย ตามความต้องการของเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องนำไฮโดรเจนที่ได้ไปเก็บไว้ในถังเก็บ เมื่อผลิตไฮโดรเจนออกมาได้แล้วก็ส่งออกไปยังเครื่องยนต์ ทำให้เกิดการจุดระเบิดขึ้น เพราะคุณสมบัติที่ดีของไฮโดรเจนก็คือมีการเผาไหม้ได้สูงและมีการจุดระเบิดที่ต่ำมาก เหมือนเครื่องยนต์ที่ใช้กันในปัจจุบัน เทคโนโลยีทุกวันนี้ในการผลิตไฮโดรเจนโดยใช้วิธีการคล้ายๆ กัน จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อิเล็กโทรไรท์เตอร์" ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายๆ กันหมด

"ปฏิกิริยาแยกน้ำจะเกิดความร้อนสูง ยากแก่การควบคุม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่รีแอคเตอร์ที่พัฒนาขึ้น สามารถควบคุมความร้อนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ที่สำคัญใช้น้ำเป็นวัตถุดิบต้นกำเนิดของเชื้อเพลิง ซึ่งหาได้ง่าย ราคาถูก และประการสุดท้าย คือ ไอเสียที่เกิดจากการสันดาปนั้น จะปนออกมารวมตัวกับออกซิเจนกลายเป็นน้ำอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นไอเสียบริสุทธิ์"

"รีแอคเตอร์ 2" ขณะนี้ได้ออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นตัวทำหน้าที่ตรวจสอบความผิดปกติของการทำงานในระบบทั้งหมด วงจรนี้จะทำงานร่วมกับ ไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่จะเป็นตัวควบคุมการทำงานของรีแอคเตอร์กับเครื่องยนต์ เพื่อให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่น้อยลง และได้ผลผลิตคือ ไฮโดรเจนในปริมาณที่เป็นสัดส่วนกับความต้องการของเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

ขอขอบคุณ คมชัดลึก

วันเสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

พัฒนาผักไฮโดรโพนิคส์ แม่โจ้ก้าวหน้านำปลูกบน ไม้ไผ่


“ไฮโดรโพนิคส์” เป็นเทคนิคการปลูกพืชในรูปแบบหนึ่ง...ซึ่งไม่ใช้ดินเป็นส่วนประกอบหลักเหมือนทั่วๆไป โดยส่วนใหญ่มักถูกปรับใช้กับสภาพข้อจำกัดด้านพื้นที่หรือปัญหาสภาวะแวดล้อม

...ยกตัวอย่าง เช่น พื้นที่มีสภาพปัญหาเรื่องดินเลว หรือ แหล่งน้ำไม่สมบูรณ์ จึงมีการออกแบบโรงเรือน และระบบการใช้น้ำ รวมถึงวิธีการควบคุมปริมาณธาตุอาหารให้แก่พืชได้อย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความต้องการของพืชแต่ละชนิด

นักวิจัยด้านการเกษตร ได้สร้างวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งการเรียนรู้แห่ง ศาสตร์ของเกษตร สามารถปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ การปลูกพืชในสารละลาย (Water Culture) ปลูกพืชในวัสดุปลูก (Sub strate Culture) และ ระบบปลูกให้รากลอยอยู่กลางอากาศ (Aeroponics)

รศ.ดร.เทพ พงษ์พานิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ บอกว่า ทีมงานวิจัยได้พยายามศึกษาเปรียบเทียบการปลูกพืชทั้ง 3 แบบนี้ เพื่อต้องการให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและลดต้นทุนการผลิต โดยร่วมมือกับ โครงการหลวง สร้างชุดสาธิต...ปลูกผัก ไฮโดรโพนิคส์ขนาดใหญ่ มีความสูงกว่า 3 เมตร ซึ่ง ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้ไม้ไผ่ที่นำมาจาก สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆมาร่วมออกแบบระบบ เพื่อเน้นให้เห็นว่าสามารถใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาประยุกต์เพื่อประหยัดต้นทุนโรงเรือน และนำไปใช้ได้จริงในระดับครัวเรือนชุมชน เมื่อ ปลูกผักแล้วนำมาบริโภคเองอย่างปลอดภัยสอดคล้องกับ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ได้เป็นอย่างดี

รศ.ดร.อานัฐ ตันโช หัวหน้าโครงการปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มักคิดว่า

ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนไฮโดรโพนิคส์มีราคาสูง หากเทียบเปรียบกับการปลูกพืชในดินตามปกติ อีกทั้งผู้ปลูกจะต้องมีความรู้ ด้านการจัดการและเทคโนโลยีที่สูงกว่า ทั้งที่จริงแล้วเป็น การควบคุมใช้ธาตุอาหารของพืช ได้ง่ายกว่าการปลูกในดิน สามารถควบคุมผลผลิตและระยะเวลาได้ ค่อนข้างแน่นอน ทำให้ ผลผลิตของไฮโดรโพนิคส์ ออกเร็วกว่าการปลูกในดินประมาณ 1 สัปดาห์ และยังช่วยลดค่าแรงงานในการเตรียมแปลงปลูก ไม่ต้องเสียค่ารถไถ และ ค่ากำจัดวัชพืช หากต้องการปลูกเพื่อการค้าควรมีการศึกษาตลาดผู้บริโภคหรือปลูกพืชชนิดที่ไม่ค่อยมีวางจำหน่ายในท้องตลาด

หัวหน้าโครงการปลูกพืชไฮโดรโพนิคส์ กล่าวอีกว่า คำแนะนำสำหรับบางคนที่อาจมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องสารตกค้าง วิธีรับประทานผักไฮโดรโพนิคส์ ไม่ว่าจะเป็นผักที่ซื้อมาหรือปลูกเองจากแปลง ให้นำผักไปแช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ผักจะอิ่มตัวแล้ว คายสารที่ตกค้างออกมาได้หมด ทำให้สามารถบริโภค ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีรายละเอียดให้ท่านที่สนใจด้วยเช่นเดียวกัน

และนอกจากชุดสาธิตไม้ไผ่ขนาดยักษ์แล้ว ทีมงานวิจัยยังสร้างชุด ปลูกผักโฮโดรโพนิคส์ขนาดเล็ก จากไม้ไผ่ฝีมือของนักศึกษาใน ราคาต้นทุนไม่เกิน 500 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญยินดีให้ความรู้ และสอนวิธีการปลูกให้สามารถนำกลับไปปลูกที่บ้านได้ ดังนั้นหากต้องการปลูกผักกินเองก็สามารถซื้อชุดปลูกผักสำเร็จรูป ในแบบราคาย่อมเยานี้ไปปลูกหลังบ้านก็ได้เช่นกัน เพราะโรงเรือนไฮโดรโพนิคส์สามารถปลูกผักได้ทุกชนิดเหมือนการปลูกผักในดิน ทั้งผักพื้นบ้าน และ ผักเมืองหนาว ที่นำมาสาธิต เช่น ผักกาดแก้ว เนื่องจากเป็นที่นิยมในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพอย่างสลัดผักนานาชนิด


ใครสนใจต้องการชมชุดปลูกผักไฮโดรโพนิคส์ จากไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กริ๊งกร๊าง โดยตรงที่ รศ.ดร.อานัฐ ตันโช หัวหน้ากองทุนปุ๋ย อินทรีย์และไฮโดรโพนิคส์ มูลนิธิโครงการหลวง ภาควิชาทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 0-5387-3490 ต่อ 117,08-9956-9830 หรือคลิกที่ www.maejohydroponics.org

ขอขอบคุณ ข่าวการเกษตร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันอังคารที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

ผลิตปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ พด.อบรมฟรีทั่วประเทศ


นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เผยว่า ปัจจุบันปริมาณขยะเพิ่มขึ้น น้ำทิ้งจากชุมชนลงแหล่งน้ำธรรมชาติและการทำปศุสัตว์ กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญส่งผลให้เกิดน้ำเสียและส่งกลิ่นเหม็น ที่ผ่านมา กรมได้ทำการวิจัยด้านจุลินทรีย์และมีผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์สารเร่ง พด. เพื่อใช้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำหมักชีวภาพ สารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็นจึงส่งเสริมให้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตรวมถึงลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีตลอดจนใช้เพื่อกำจัดกลิ่นเหม็นในคอกเลี้ยงสัตว์หรือบำบัดน้ำในบ่อเลี้ยงปลา

ดังนั้น กรมจึงต้องการขยายผลการดำเนินงานที่มุ่งเน้นไปในกลุ่มประชาชนในเขตชุมชน เพื่อช่วยลดปัญหาขยะในชุมชนเมืองเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งกรมฯได้เปิดฝึกอบรมในหลักสูตร การผลิตและใช้น้ำหมักชีวภาพ สารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็นโดยใช้สารเร่ง พด.ขึ้น โดยตั้งเป้าอบรมหลักสูตรนำร่องรวม 4 รุ่น ขณะนี้อบรมแล้ว 2 รุ่น ได้รับความสนใจจากประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงเดินทางมาจากจังหวัดต่างๆจำนวนมาก ซึ่งจะเปิดอบรมในรุ่นต่อไป ผู้สนใจสอบถามที่ 0-2579-8515, 0-2579-0679

“นอกจากนี้ กรมฯยังมุ่งหวังว่าจะช่วยให้เกิดการขยายเครือข่ายผู้ผลิตและใช้น้ำหมักชีวภาพเพิ่มขึ้นในแต่ละชุมชน สำหรับท่านที่อยู่ต่างจังหวัดหรือไม่สะดวกเดินทางแต่ในชุมชนมีผู้สนใจสามารถรวมตัวกันติดต่อมายังกรมฯจะส่งเจ้าหน้าที่ไปอบรมให้ถึงชุมชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ” นายฉลองกล่าว.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

คุยกันเรื่อยเปื่อย1


วันนี้ผมคงไม่โพสต์ข้อความอะไรมากเพียงแค่อยากบอกเล่าอะไรนิดหน่อย
ทุกวันนี้ การดำเนินชีวิตนั้นแสนยากผิดพลาดอะไรแทบไม่ได้รับโอกาสให้แก้ตัวจากสังคมเลยเพราะฉะนั้นเราต้องไม่ประมาทกับการดำเนินชีวิตแม้ซักวินาทีเดียวต้องมีสติรอบคอบ เพราะทุกๆอย่างที่เราก่อร่างสร้างขึ้นมาก็พร้อมที่จะมลายหายไปจากเราทันที
ฐานะทางสังคมก็เช่นกัน ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งวัดค่าของเรา จะต่ำจะสูงก็ดูที่เงิน!!! ใครมีเยอะใครใช้เยอะเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อหน้าตาทางสังคมหรอกหรือ??? แต่ยังไงซ่ะก็ขอให้เชื่อไว้ว่า"ประหยัดและอดออมคือสิ่งที่ดีที่สุด"
แต่ถ้าเราประหยัดไม่ได้ล่ะจะทำอย่างไร วันหลังผมจะมาคุยเรื่อยเปื่อยให้อ่านนะครับ

วันอังคารที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

ออมอย่างมีวินัย หัวใจสู่สุขภาพการเงินแข็งแรง

สุขภาพทางการเงินของคุณดีแค่ไหน ลองถามตัวเองดู ถ้าอยากมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ก็ให้รู้ไว้เถอะว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนไกลเกินเอื้อมหรอก เพราะสุขภาพทางการเงินที่ดีสร้างกันได้ ถ้าคุณมุ่งมั่นและตั้งใจจริง
"พิชิตสุขภาพทางการเงินที่ดีใน 31 วัน" สำหรับบางคนอาจฟังดูเป็นเรื่องที่เข็นครกขึ้นภูเขายังง่ายซะกว่า แต่ลองอ่านแล้วปฏิบัติตามทีละสเต็ป แล้วคุณจะพบว่า แค่ 31 วันคุณก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้
บทความนี้จะเป็นเข็มทิศนำทางพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งที่เปิดประตูรออยู่ข้างหน้า
***************
นอกเหนือจากสุขภาพกายที่ดีแล้ว สุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งมั่นคง คงเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะมี แต่ใช่ว่าทุกๆ คนจะสุขภาพทางการเงินที่ดีกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปไกลถึงการออมเงินหรอก แค่จะจัดสรรเงินให้พอใช้ในแต่ละเดือนสำหรับบางคนยังยากสิ้นดี
ทั้งที่จริงแล้ว การทำตัวเองให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก ภายใน 31 วันหรือ 1 เดือนคุณก็สามารถเป็นเจ้าของสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ ถ้าใจมุ่งมั่นซะอย่าง
Day 1. ประกาศเจตนารมณ์การออม สุขภาพทางการเงินที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะออมเงิน ก่อนอื่นประกาศเจตนารมณ์การออมเงินของคุณให้ชัดเจนไปเลยว่า จะออมเงินอย่างจริงจัง ต่อไปนี้ชีวิตของคุณจะมีเงินออมอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ต่อไปนี้ ชีวิตคุณจะไม่ไร้เงินออมอีกต่อไป จากนั้นก็หันมาใช้ชีวิตแบบ "ออม" ก่อนแล้วค่อย "ใช้" ข้อสำคัญคิดเป้าหมายอยู่ในใจด้วยว่าคุณออมไปเพื่ออะไร จะเก็บไว้ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ เอาไว้เป็นสินสอดทองหมั้น หรือเอาไว้ยามชรา ก็เป็นสิทธิที่คุณจะคิดและฝันได้ทั้งนั้น
Day 2. ออมแบบไม่ให้เป็นภาระ เมื่อรักที่จะออม ก็จงอย่าให้การออมสร้างความรู้สึกเป็นภาระให้กับคุณ เพราะเมื่อไหร่ที่ปล่อยให้คำว่า "ภาระ"มาบั่นทอนการออมของคุณแล้ว ในที่สุดแผนการออมของคุณก็จะต้องสะดุดลงในไม่ช้า เพราะฉะนั้นออมให้พอเหมาะพอดี และสอดรับกับสถานการณ์ทางการเงินของคุณ ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป เพื่อทำให้การออมของคุณเป็นไปอย่างตลอดรอดฝั่ง
คนที่รู้ดีที่สุดว่าออมเท่าไหร่ ถึงจะไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปคือตัวคุณเอง เช่น ถ้ามีเงินเดือน 15,000 บาท ในแต่ละเดือนคุณต้องผ่อนบ้านเดือนละ 7,000 บาท และใช้จ่ายเดือนละประมาณ 6,000 บาท แบบนี้ก็ไม่ควรดึงดันออมให้มากเกินกำลัง ออมเดือนละ 2,000 บาท ก็ไม่ได้ขี้เหร่จนเกินไป
Day 3. วินัยเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ความเสมอต้นเสมอปลาย ออมอย่างมีวินัยสม่ำเสมอ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการออมได้อย่างไม่ยาก อย่าทำตัวเป็นพวกสามวันดีสี่วันไข้ เดือนนี้มุ่งมั่นจะออมแบบเอาเป็นเอาตาย เดือนถัดไปขอเว้นวรรค แบบนี้เห็นทีจะไม่รุ่ง
Day 4. ให้ทุกวันมีแต่คำว่าประหยัด เมื่อออมกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ก็อย่าลืมใช้ชีวิตแบบพอดีพอเพียง กินใช้อย่างประหยัด ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยจนเกินความจำเป็น ทำให้ทุกวันของชีวิตคุณมีแต่คำว่าประหยัด ไม่ใช่ว่าประกาศป่าวๆ ว่าจะออมเงิน แต่ยังเปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น หรือชอปปิงที่ตลาดนัดข้างออฟฟิศได้ทุกวี่ทุกวัน
Day 5. ปรับพฤติกรรมใช้จ่าย ถ้าอยากเป็นคนสบายในวัยชราหรืออยู่เคียงคู่ความมั่งคั่ง ทางที่ดีคุณควรจะปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย นิสัยใช้จ่ายแบบเดิมๆ ที่เคยจับจ่ายแบบคล่องมือ ก็ลดละเลิกซะ หรือประเภทใช้บัตรเครดิตชนิดรูดกระจาย รูดปรื้ด รูดปรื้ด พฤติกรรมแบบนี้ทิ้งได้ทิ้งเลย เปลี่ยนมาเป็นคนที่ใช้จ่ายแบบคิดหน้าคิดหลังดีกว่า ก่อนควักกระเป๋าซื้อทุกครั้ง ช่างใจดูก่อนว่า ของชิ้นนั้นซื้อไปแล้วคุ้มค่าหรือไม่
มีผู้หญิงหลายคนซื้อของแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อไปถึงบ้าน ข้าวของพวกนั้นก็ยังกองอยู่ที่บ้าน โดยที่ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์เอาเป็นว่า ก่อนซื้อทุกครั้ง ถามหาความคุ้มค่าจากเงินที่เสียไปก่อน
Day 6. รู้จักใช้เงินอย่างมีความสุข เมื่อไหร่ที่ออมก็ขอให้ออมอย่างพอดี สนุกกับการออมได้แต่ไม่ใช่ว่าตระหนี่ถี่เหนียว เสียจนชีวิตขาดความสุข มีคนจำนวนไม่น้อย ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินลูกเดียว ไม่ยอมควักออกมาใช้จ่าย หรือซื้อในสิ่งที่ควรจับจ่าย โดยหวังว่าจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ใช้ในบั้นปลาย ประเภทนี้ก็จะกลายเป็นคนออมที่ชีวิตปัจจุบันขาดความหอมหวาน ชีวิตมีแต่ความแห้งแล้ง ฉะนั้น อย่ามัวแต่ทำมาหาเก็บ แต่รู้จักใช้เงินให้เป็น แบบนี้จะดีกว่าจะได้สุขทั้งในปัจจุบัน และอนาคต
Day 7.วางแผนออมเพื่อเกษียณอายุ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นการออมเงินเพื่ออะไรก็แล้วแต่ จงอย่าลืมเก็บหอมรอมริบเผื่อไว้ใช้ในช่วงเกษียณอายุด้วย เพราะในวัยนั้นคุณคงไม่มีแรงทำมาหากินเพื่อสร้างรายได้อีกต่อไป ฉะนั้น ลองคิดคร่าวๆ เผื่อดูว่าคุณอยากจะเป็นคนแก่ที่มีเงินใช้ประมาณเท่าไหร่ อยากกินใช้อย่างสบายก็เก็บออมเอาไว้เยอะๆ และลงมือออมเร็วๆ แล้วนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อยอดให้ออกดอกออกผล
Day 8. ลงทุนให้เงินงอกเงย ตั้งท่าจะออมเงินท่าเดียว แล้วเมื่อไหร่เงินถึงจะงอกเงยอย่างงดงามล่ะ เพราะการฝากแบงก์อย่างเดียว บางทีอาจทำให้เงินของคุณแทบไม่ไปไหน ลองศึกษาหาข้อมูลการลงทุนในช่องทางอื่นที่ปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น กองทุนรวม พันธบัตร สหกรณ์ออมทรัพย์ หรือทองคำ เป็นต้น ข้อสำคัญคือ เลือกช่องทางลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ แล้วศึกษาอย่างถ่องแท้ให้รู้ และเข้าใจอย่างแท้จริง โอกาสขาดทุนจะได้น้อยที่สุด
Day 9.จดทุกรายการรับจ่าย ตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในการจัดการเงินทองโดยมากมักเป็นคนที่ใส่ใจกับรายละเอียดการใช้เงิน โดยจะมีการจด และบันทึกการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการจดรายละเอียดการใช้จ่าย จะทำให้คุณรู้เท่าทันสถานการณ์ทางการเงินของตัวเอง ว่าคุณมีค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ไม่จำเป็น หรือมีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยปูดโปนโผล่ออกมาจากงบ จากปากคำของผู้ที่จดทุกรายการรับจ่าย ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำให้เขาสามารถวางแผนการเงินได้มีประสิทธิภาพ ยังไม่สายเกินไปหรอก ถ้าที่ผ่านมาคุณยังไม่ได้ลงมือบันทึกการรับจ่าย เริ่มเสียตั้งแต่วันนี้เลย
Day 10. มุ่งมั่นใช้หนี้ การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไรอีกแล้ว ในยุคที่หนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนส่วนใหญ่ ข้อสำคัญคือ มีสร้างหนี้ได้ ก็ต้องชำระหนี้โดยไม่อิดออด ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน ผ่อนรถ กู้เงินด่วน หนี้บัตรเครดิต ไปจนถึงหนี้นอกระบบ สารพัดสารเพหนี้ที่พร้อมใจกันทำให้ภูมิต้านทาน ทางการเงินของคุณย่ำแย่ลง
ถ้ายังไม่เป็นหนี้ ก็อย่าพยายามสร้างหนี้ให้เกินกว่า 50% ของรายได้สุทธิ เพราะอย่าลืมว่าคุณต้องกินต้องใช้ แถมบางคนยังต้องผ่อนบ้านอีก แต่ถ้าหลวมตัวสร้างหนี้กองพะเนินเอาไว้แล้ว ก็อย่าได้เบี้ยว อิดออด หรือชำระหนี้แบบกะปริบกะปรอยอย่างเด็ดขาด มุ่งมั่นปลดหนี้เพื่อเดินไปสู่อิสรภาพทางการเงินโดยเร็ว
Day 11. มองหาทางสร้างรายได้เพิ่ม อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น ก็ลองค้นหาความสามารถของตัวคุณเอง เพื่อเป็นช่องทางสร้างรายได้พิเศษ เพราะยามที่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างขยับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง จนต้นทุนการจับจ่ายใช้สอยของคุณบานปลายหนักขึ้นทุกวัน การหารายได้พิเศษเพิ่ม เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยคุณปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้ง มาถึงตอนนี้ คุณลองสำรวจตัวเองดูซิว่าคุณมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง
ร้อยลูกปัด ทำเทียนหอม เพ้นท์เล็บ ทำขนมเค้ก และคุกกี้ แปลงาน พิมพ์งาน ทำเวบไซต์ ทำอาหาร ซ่อมคอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพ ถ้าที่ว่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่มีอะไรสักอย่างที่คุณทำได้ ก็ลองมองหาคอร์สฝึกอาชีพ ที่อาจจะต้องลงทุนด้วยเงินนิดหน่อย แต่ในอนาคตอาจจะสร้างอาชีพและทำเงินให้คุณก็ได้
Day 12. ตีกรอบใช้บัตรเครดิต ในยามสถานการณ์ปกติ กฎเกณฑ์การใช้บัตรเครดิตโดยทั่วไปในแต่ละเดือนไม่ควรปล่อยให้เกิน 10-20% ใครที่คุมการรูดบัตรไม่ให้เกินเดือนละ 10% และชำระเต็มจำนวนทุกเดือน ถือว่าคุณเป็นคนใช้บัตรเครดิตที่มีวินัย และส่อเค้าว่าน่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสุขภาพทางการเงินที่ดีได้ แต่ก็มีหลายคนที่รูดบัตรเครดิตอย่างเพลิดเพลิน ไม่เคยมีลิมิตให้กับตัวเอง แบบนี้ยิ่งต้องตีกรอบการใช้บัตรเครดิตของตัวเอง พวกขาช้อปทั้งหลายยิ่งเข้มงวดกับตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น
Day 13. เลือกโปรโมชั่นมือถือที่เหมาะและประหยัด เริ่มต้นด้วยคำว่าประหยัดแล้ว ค่าใช้จ่ายอะไรที่ต้องจ่ายเป็นประจำ ก็ไม่ควรปล่อยให้บานปลาย หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่ช่วยคุณประหยัดได้คือ ค่าโทรศัพท์มือถือนั่นเอง ถ้าหากคุณประหยัดด้วยการไม่เห่อตามเทรนด์มือถือที่เปลี่ยนรูปลักษณ์โฉมใหม่มาล่อใจคุณตลอดเวลา อีกอย่างที่ช่วยคุณประหยัดได้คือ การเลือกโปรโมชั่นมือถือที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานของคุณมากที่สุด เดี๋ยวนี้โปรโมชั่นมีการปรับเปลี่ยนมีให้คุณเลือกได้มากขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องยึดกับโปรโมชั่นแบบเก่าๆ ที่ยังต้องจ่ายแพงอยู่
ลองปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นดู ให้เหมาะกับการใช้งานจริง หรือให้เข้ากับโปรโมชั่นในปัจจุบัน ที่มักลดราคาจนน่าใจหาย เช่น คุณใช้โปรโมชั่นโทร 1,000 บาท เหมาจ่าย 300 บาทมา 3 ปีแล้ว ทั้งที่ จริงคุณโทรไม่ถึง 1,000 บาทสักเดือน ปัจจุบันมีโปรโมชั่นใหม่โทร 500 บาทจ่าย 100 บาท ทางที่ดีคุณน่าจะปรับโปรโมชั่นมาเป็นอย่างหลังจะเหมาะกว่า อย่างน้อยก็ประหยัดเงินไปอีกนิด
Day 14. หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน น้ำมันแพงหูฉี่แบบนี้ ถ้ากระเป๋าสตางค์คุณยังเอื้ออำนวยให้ใช้รถ ใช้น้ำมันต่อไป ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าอยากให้สุขภาพทางการเงินดีขึ้น ลองหันมาปฏิวัติระบบการสัญจรของตัวเอง ด้วยการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนในบ้านเรา ซึ่งปัจจุบันก็มีความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน สะดวก ประหยัด แถมยังรวดเร็วอีกต่างหาก
Day 15. หยุดซื้อกะปริบกะปรอย-ตั้งลิมิตชอปปิง สำหรับประเด็นนี้ ฝ่ายชายคงไม่มีปัญหา แต่ฝ่ายหญิงนี่สิ โดยมากฝ่ายสาวจะมีวิญญาณนักช้อป อยู่ในตัวกันเป็นส่วนใหญ่จะช้อปจะจ่ายกันยังไงก็ขอให้นึกอยู่เสมอว่า สุขภาพทางการเงินอันฟิตปั๋งจะเกิดกับคุณไม่ได้เลย ถ้าหากคุณยังปล่อยให้วิญญาณนักช้อปปกคลุมจิตใจ ซื้อซ้ำซากซื้อกะปริบกะปรอย เชื่อเถอะว่าจะมีแต่บั่นทอนสุขภาพทางการเงินของคุณเปล่าๆ
ทางที่ดีถ้าคุณรู้ตัวเอง ว่าเป็นพวกช้อปกระจายซื้อได้ซื้อดี ตั้งลิมิตการช้อปในแต่ละเดือนของคุณเอาไว้เลย เช่นว่าในแต่ละเดือนคุณมีโควตาชอปปิงไม่เกินเดือนละ 10% ของรายได้ ไม่ว่าจะอยากได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ให้ขีดเส้นไว้เลย ถ้าถึงกรอบเมื่อไหร่ก็หยุด อยากได้อะไรค่อยไปช้อปเดือนถัดไปแบบนี้ รับรองสุขภาพการเงินฟิตเปรี๊ยะ
Day 16. ตัดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น เชื่อเถอะว่า ทุกวันนี้ในแต่ละเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ที่เอาเข้าจริงๆ แล้วตัดออกได้โดยที่ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันของคุณอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าทำผม ทำเล็บ ค่าล้างรถตามอู่ ค่าแม็กกาซีนรายปี ค่าฟิตเนส เป็นต้น แต่ละคนมีรายละเอียดของค่าใช้ที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ฉะนั้นใครจะตัดอะไร หรือมีอะไรที่ต้องตัด เจ้าตัวย่อมรู้ดีที่สุด
Day 17. โละของเก่าขาย อีกวิธีหนึ่งที่นอกจากช่วยคุณจัดระเบียบความเรียบร้อยในบ้านแล้ว ยังดูเหมือนเป็นการช่วยคุณหารายได้อีกทางหนึ่งด้วย ลองสำรวจข้าวของภายในบ้านดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกเข้าไปในห้องเก็บของ หรือตู้เสื้อผ้า คุณอาจจะพบว่ามีสมบัติที่คุณประโคมซื้อเอาไว้หลายอย่าง แต่หยิบมาใช้งานน้อยมาก หรือบางชิ้นแทบไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานเลยก็ว่าได้
หรือไม่ก็พวกกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้ากองพะเนิน ลองโกยออกมาวางขายดูบ้าง อันไหนไม่ใช้แล้วก็คัดออกมาขายจะดีกว่า มองหาตลาดนัดขายของมือสอง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีอยู่เกลื่อนกลาด วิธีนี้แหละนอกจากช่วยให้เงินคุณมีเงินออมขึ้นมาอีกไม่น้อย ลองดูสิ นอกจากได้เคลียร์ข้าวของภายในบ้านแล้ว คุณก็จะได้เงินออมเพิ่มขึ้นด้วย
Day 18. เที่ยวและสังสรรค์ให้พอดี มนุษย์ส่วนใหญ่มีวิธีผ่อนคลายในแบบของตัวเอง บ้างก็เที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวต่างประเทศ หรือไม่ก็สังสรรค์กับเพื่อนฝูงหลังเลิกงาน แต่แน่นอนเรื่องพวกนี้มีเหตุให้ต้องเสียเงินเสียทองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มักออกไปปาร์ตี้สังสรรค์หลังเลิกงาน และเดินทางท่องเที่ยว ฉะนั้น หากคิดถึงสุขภาพทางการเงินที่ดี ก็ควรเที่ยวและสังสรรค์ให้พอดี
Day 19 .ใจแข็งเข้าไว้ถ้าถูกยืมเงิน ไม่ได้บอกให้เห็นแก่ตัว เพราะการช่วยเหลือญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเป็นเรื่องดีและควรทำแต่ถ้าถูกยืมสตางค์กันบ่อยๆ คุณนั่นแหละคือ คนที่ต้องมานั่งแบกทุกข์ และนั่งปวดหัวเมื่อถูกเบี้ยวหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตัวคุณเองก็ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง หรือจัดการเรื่องเงินทองไม่ลงตัว ก็อย่าเพิ่งควักกระเป๋าให้ชาวบ้านยืม
เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่ถูกคนใกล้ตัวออกปากยืมสตางค์บ่อยๆ คุณต้องรู้จักปฏิเสธ ไม่ว่าจะแบบตรงไปตรงมาหรืออ้อมๆ ก็ต้องทำใจแข็งเข้าไว้ มีหลายคนที่สู้อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ประหยัดสุดขีด แต่สุขภาพทางการเงินย่ำแย่ ก็เพราะมัวแต่ไปให้คนอื่นยืมสตางค์
Day 20 .ทำอาหารกินเอง เรื่องที่ดูเหมือนใกล้ตัวที่สุด ที่ช่วยทำให้สุขภาพทางการเงินของคุณดีได้อย่างไม่ยาก คือ การลงมือทำอาหารกินกันเองที่บ้าน นอกจากจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนในครอบครัวอย่างอบอุ่นแล้ว คุณยังได้ประหยัดขึ้น ไม่ต้องไปจ่ายเงินสำหรับดินเนอร์มื้อแพงๆ
Day 21. บอกลาหนี้นอกระบบ คนเราเป็นหนี้กันได้ ต่อขอให้รู้ว่าหนี้อย่างหนึ่งที่คุณไม่ควรเอาตัวเข้าไปพัวพันด้วย นั่นคือ หนี้นอกระบบ เพราะดอกเบี้ยของหนี้นอกระบบแพงมาก สำหรับคนที่เป็นหนี้นอกระบบอยู่แล้ว ก็พยายามหาทางพาตัวเองเข้าสู่กระบวนการเป็นหนี้ในระบบให้ได้ เพราะดอกเบี้ยจะถูกกว่ากันเยอะ เช่น กู้พวกสินเชื่อบุคคลหรือกู้เงินด่วนจากแบงก์แทน ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นหนี้นอกระบบ อย่าเด็ดขาด อย่าหาทุกข์ใส่ตัวด้วยการกู้นอกระบบ การเดินเข้าสู่วงจรของหนี้นอกระบบ จะทำให้คุณก้าวพ้นจากวงจรแห่งหนี้ยากมาก หนี้นอกระบบจึงเหมือนมะเร็งร้ายที่คอยบั่นทอนสุขภาพทางการเงินคุณให้ย่ำแย่
Day 22.ปฏิเสธหนี้ที่มาทางสายโทรศัพท์ ยุคนี้ ไม่ต้องเดินไปกู้แบงก์ หนี้ก็พร้อมใจที่จะวิ่งเข้าหาคุณ โดยมาตามสายโทรศัพท์ ทั้งหนี้ประเภทเงินด่วนเงินไม่ด่วนมากันเนืองแน่น เผลอๆ ในหนึ่งสัปดาห์คุณอาจต้องรับสายโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินที่หยิบยื่นข้อเสนอการเป็นหนี้ให้คุณ ทั้งที่บางทีคุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ฉะนั้น นอกจากรู้จักปฏิเสธให้คนอื่นกู้เงินแล้ว ต้องหัดปฏิเสธหนี้ที่มาทางสายโทรศัพท์ด้วย
Day 23. แยกแยะระหว่าง "ความจำเป็น" กับ "ความอยาก" ผู้ที่มีสุขภาพทางการเงินดีหลายคน นอกจากรู้จักใช้เงินให้เป็นแล้ว ส่วนหนึ่งพวกเขารู้จักแยกแยะระหว่างความจำเป็นกับความอยากออกจากกัน เมื่อจะตัดสินใจซื้อของชิ้นหนึ่ง คนพวกนี้จะต้องช่างน้ำหนักก่อน ว่าคุ้มค่าแค่ไหน เป็นของแค่อยากได้หรือเป็นของจำเป็น ถ้าเป็นของที่จำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว ก็ซื้อได้อย่างสบายใจและสบายกระเป๋าสตางค์
Day 24.กันเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คนเรามีอุบัติเหตุชีวิตกันเกือบทั้งนั้น ใครจะรู้ วันหนึ่งคุณอาจจะถูกบริษัทปลดออก หรือจู่ๆ บริษัทก็ปิดตัวลง แย่มากกว่านั้นคือ อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมากะทันหัน การเตรียมเงินสำรองเอาไว้ก้อนหนึ่งเพื่อรับมือกับเรื่องฉุกเฉิน จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง
Day 25.สุขภาพกายและใจดี สุขภาพการเงินจะดีตาม อาจจะฟังดูงงนิดหน่อย แต่ถ้าคุณเริ่มจากคิด และมองโลกในแง่บวก ออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายก็จะแข็งแรงไม่เจ็บป่วยได้ง่าย นั่นเท่ากับว่า คุณก็อาจจะไม่ต้องเสียเงินไปกับการเยียวยารักษาพยาบาล บางคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็ทำให้สุขภาพกาย และใจอ่อนแอตามไปด้วย มาแนวนี้ต้องเตรียมเงินไว้เอาไว้รักษาร่างกายตัวเองด้วย
Day 26.อยู่ห่างจากชีวิตเงินผ่อน บางคนผ่อนโน่นผ่อนนี่จนติดเป็นนิสัย ผ่อนบ้านน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นของที่ควรจะยอมเป็นหนี้ แต่บางคนเล่นผ่อนไปซะทุกอย่าง เครื่องเสียง เครื่องดูดฝุ่น ทีวี เฟอร์นิเจอร์ ยังไม่พอ ยังเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ซึ่งแต่ละครั้งก็ต้องเริ่มต้นผ่อนใหม่ ในแต่ละเดือนแทนที่จะมีเงินเหลือเก็บเอาไว้ออม ก็ต้องเอาไปผ่อนของสารพัดอย่าง ถ้าอยากให้สุขภาพทางการเงินไม่ง่อนแง่น อยู่ห่างจากชีวิตเงินผ่อนเป็นดีที่สุด
Day 27.อย่าตกหลุมพรางของฟรี-ของแถม-ลุ้นรางวัล ข้อนี้ก็โดยมากเป็นผู้หญิงอีกนั่นแหละ ที่ตกหลุมพรางของฟรี และของแถมมากกว่าผู้ชาย เพราะของฟรี และของแถม มักเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อหรือจับจ่าย ในสิ่งที่มักจะไม่ได้คาดการณ์หรือวางแผนเอาไว้ก่อน นั่นเท่ากับว่า เป็นการจ่ายนอกเหนือความจำเป็น มีหลายคนที่ซื้อของยกโหล เพราะต้องการของแถม ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วของแถมนั้น ก็ไปนอนกองรวมกันอยู่ในห้องเก็บของ
หรือบางคนยอมซื้อข้าวของให้ได้ยอดตามที่ห้างกำหนด เพื่อที่จะได้ลุ้นชิงรางวัล ก็เลยต้องโหมซื้อของต่างๆ ทั้งที่จริงไม่ได้ต้องการหรือจำเป็นต้องใช้แต่อย่างใด สุดท้ายแล้วรางวัลที่หวังก็ไม่ได้ เงินก็เกลี้ยงกระเป๋าหรือไม่ก็ได้หนี้จากบัตรเครดิตเป็นของแถม
Day 28.หันมาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยมองข้าม ตัวอย่างของคนที่มีสุขภาพทางการเงินย่ำแย่ มักเป็นพวกที่ละเลยกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องไม่เล็กน้อยเลยทีเดียว หากปณิธานของคุณคือ อยากมีสุขภาพทางการเงินที่ดี จากนี้ไปลองหันมาใส่ใจกับเรื่องที่เคยมองข้าม เช่นทิ้งใบเสร็จรับเงินค่าประกันหลังจากที่จ่ายไปแล้ว ที่ดีคือ ควรจะเก็บไว้เผื่อว่าระบบมีปัญหาขึ้นมา จะได้เอาใบเสร็จนี้ยืนยันได้
หรือกรณีของหนังสือชี้ชวนที่หลายคนมักจะละเลย ไม่ยอมอ่านก่อนตัดสินใจลงทุน แต่เมื่อผลการดำเนินงานไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา คราวนี้จะโทษ บลจ.ก็ไม่ได้ ทางที่ดีอ่านก่อนลงทุน อีกกรณีหนึ่งคือ สเตทเมนท์บัตรเครดิตที่แบงก์ส่งมาให้ทุกเดือน ควรเก็บเอาไว้ตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้จ่าย ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของสเตทเมนท์บัตรเครดิต ยังช่วยตรวจสอบการใช้จ่ายด้วยว่า คุณรูดบัตรไปกับข้าวของประเภทไหนบ้าง บางทีสเตทเมนท์บัตรเครดิตอาจทำให้คุณพบว่า ในเดือนนี้คุณรูดบัตรซื้อรองเท้าไปแล้ว 3 คู่
Day 29.ใช้บัตรเครดิตแค่ใบเดียวพอ ทั้งหลายทั้งปวง เรื่องของบัตรเครดิต แค่ตีกรอบการใช้อย่างเดียวไม่พอ ทางที่ดีไปยกเลิกบัตรหลายๆ ใบที่ถือไว้ดีกว่า เหลือใช้แค่ใบเดียวก็เกินพอ เลือกบัตรที่คิดว่าใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ บางคนอาจจะบอกถือไว้หลายใบก็จริงแต่ใช้แค่ใบเดียวเท่านั้น แต่คุณรู้หรือไม่ ว่าการถือบัตรหลายใบอาจสร้างความยุ่งยากให้กับคุณได้เสมอ
เช่นถ้าใช้หลายใบคุณต้องจดและจำให้แม่น ว่าบัตรไหนชำระเมื่อไหร่ จะได้ไม่ผิดนัดชำระหนี้ หรือกรณีที่กระเป๋าสตางค์หาย บัตรหลายใบหายไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ เดือดร้อนคุณต้องโทรอายัดบัตรให้วุ่นวายไปหมด
Day 30.เรียนรู้เครื่องมือการออม-ลงทุนใหม่ๆ ตลอดเวลา สุขภาพทางการเงินของคุณจะดีวันดีคืน ถ้าคุณหัดเป็นคนที่เปิดหูเปิดตาเรียนรู้เครื่องมือการออม และช่องทางลงทุนใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างที่รู้กันว่า พวกนวัตกรรมการออม และลงทุนมักไม่ค่อยหยุดนิ่งมีช่องทางใหม่ๆ ให้เราได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ ขยันอัพเดทเรื่องพวกนี้เข้าไว้ไม่เสียหายแน่นอน
Day 31.ต่อยอดเงินออมด้วยการลงทุน มาถึงตรงนี้ หวังว่าคุณคงพอจะมีเงินออมเก็บไว้ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นลองหาวิธีที่จะช่วยต่อยอดเงินออมของคุณด้วยการลงทุน หาวิธีที่จะทำให้เงินออมของคุณออกดอกออกผลมากที่สุด ช่องทางลงทุนมีมากมาย เลือกให้เหมาะกับคุณมากที่สุด เช่น ยังอายุน้อยรับความเสี่ยงได้เยอะ อยากได้ผลตอบแทนสูงก็ลองลงทุนในตลาดหุ้นดู
ค่อยๆ ลงมือทำทีละก้าว แต่ขอให้ทุกวันของคุณทำอย่างมุ่งมั่น เท่านี้ คุณก็เป็นเจ้าของสุขภาพทางการเงินดีๆ ได้
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก MSN THAILAND