วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ชาวนาไทยอย่าร้องไห้

วานนี้ได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของ คุณนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โต้เรื่องการเปิดตลาดข้าวเสรี ก็พลันนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา "ชาวนาไทยอย่าร้องไห้" ด้วยความสงสารชาวนาไทยกระดูกสันหลังของชาติ ซึ่งกำลังจะเผชิญกับวิบากกรรมสาหัสในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เมื่อตั้งชื่อเรื่อง "ชาวนาไทยอย่าร้องไห้" ก็ทำให้ผมคิดถึงเพลง Donžt Cry For Me, Argentina เพลงดังจากละคร Evita ขึ้นมาทันที มีความหมายลึกซึ้งดีไปฟังดู

ท่านผู้อ่านคงจำได้ ช่วงนี้ผมเขียนเรื่องข้าวไปสองครั้ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วและวันจันทร์ เรื่องการเปิดตลาดข้าวเสรีของไทย ให้ประเทศอาเซียนส่งข้าวเข้ามาขายในไทยได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า และเรื่อง เศรษฐีน้ำมันอาหรับที่ไปลงทุนปลูกข้าวในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจจะมีนอมินีซื้อนาปลูกข้าวอยู่ในเมืองไทยแล้วก็ได้ แต่เราไม่รู้

ผมเขียนเรื่องข้าวด้วยความรู้สึกที่เป็นห่วงชาวนาไทย ปกติก็ขายข้าวขาดทุนไม่คุ้มค่าปลูกอยู่แล้ว เพราะถูกพ่อค้าคนกลางกดราคา จนต้องออกมาประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลรับจำนำข้าวทุกปี

ถ้าเปิดตลาดข้าวเสรีให้เพื่อนบ้านเมื่อไร ชาวนาไทยตายแน่ๆ เพราะข้าวไทยขายแพงกว่า สู้ราคาข้าวเพื่อนบ้านอาเซียนที่ขายถูกกว่าไม่ได้ มิหนำซ้ำรัฐบาลยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆออกมารองรับ ทั้งๆที่จะเปิดตลาดข้าวเสรีในวันที่ 1 มกราคมปีหน้านี้แล้ว ผมเชื่อว่าชาวนาไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำ

คุณนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ คนรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ชี้แจงผม แต่ให้สัมภาษณ์ตอบโต้เรื่องนี้ในสื่อทั่วไปว่า

ไทยยืนยันจะเปิดตลาดข้าวเสรี ตามข้อผูกพันกับอาเซียน จะลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ในวันที่ 1 มกราคม 2553 หากไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพันหรือชะลอการเปิดตลาดข้าวไทยออกไป จะทำให้เกิดผลกระทบในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่ง สมาชิกอาเซียนมีสิทธิตอบโต้ไทย โดยขึ้นภาษีนำเข้าข้าวไปอยู่ในระดับเดียวกับที่ผูกพันไว้กับองค์การค้าโลก ทำให้ไทยเสียเปรียบเวียดนาม อาจสูญเสียตลาดส่งออกข้าวในที่สุด

แล้วประเทศอื่นในอาเซียน ลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์หรือไม่

มาอ่านคำตอบจาก คุณนันทวัลย์ เองดีกว่าครับ

ที่ผ่านมาไทยผลักดันให้ประเทศอาเซียนอื่นๆ ลดภาษีข้าวให้ไทยภายใต้กรอบอาเซียน เช่น มาเลเซีย ต้องลดภาษีผูกพันในองค์การค้าโลกจาก 40 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซีย จะลดภาษีผูกพันจาก 160 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2015 โน่น และ ฟิลิปปินส์ ไทยกำลังเจรจาให้ลดภาษีจาก 40 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลืออย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์

คำตอบนี้แสดงว่า ไม่มีประเทศไหนในอาเซียนลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์เหมือนไทยเลย แม้แต่ประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม ผมก็ไม่รู้กรมนี้เขาไปเจรจากันอีท่าไหน ประเทศไทยจึงเสียเปรียบมโหฬารขนาดนี้ เป็นฝ่ายลดภาษีเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์แต่ฝ่ายเดียว แต่ประเทศอื่นยังเก็บภาษีนำเข้าหมด

ยิ่งได้ข้อมูลชัดเจนอย่างนี้ ผมก็ยิ่งสงสารชาวนาไทยหนักขึ้นไปอีก

ส่วนเรื่องที่ผมเป็นห่วงว่า ข้าวจากเพื่อนบ้าน เวียดนาม พม่า ลาว เขมร จะเข้ามาตีตลาดข้าวไทย เพราะมีราคาถูกกว่าข้าวไทย แม้แต่ชาวนาไทยก็อาจต้องซื้อข้าวต่างชาติกินแทนข้าวที่ตัวเองปลูกเพราะราคาถูกกว่า

คุณนันทวัลย์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เตรียมมาตรการไว้แล้ว เช่น กำหนดด่านนำเข้าข้าวเฉพาะ มีการตรวจความปลอดภัยด้านอาหาร ผู้นำเข้าข้าวต้องมีใบรับรองคุณภาพมาตรฐานสินค้าข้าว ใบรับรองปลอดจีเอ็มโอ รวมทั้งติดตามการเคลื่อนย้ายข้าวและการเก็บรักษาข้าว

แล้วทุกวันนี้ "ข้าวเถื่อน" จากประเทศเพื่อนบ้านที่นำเข้ามา "สวมสิทธิจำนำกับรัฐบาล" โกงเงินภาษีคนไทยไปดื้อๆ ตรวจกันยังไงมิทราบครับ ท่านอธิบดี

เรื่องนี้ผมคิดว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย และรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ดูแลกรมนี้ คงต้องมีคำตอบให้ชาวนาไทย ทำไมเราไปอุ้มชาวนาต่างชาติมารังแกชาวนาไทย.

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์"ลม เปลี่ยนทิศ"

เศรษฐีอาหรับลุยทำนา

การเปิดเสรีตลาดข้าวอาเซียน ชาวนาไทยสะอื้น ถ้ารัฐบาลยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือชาวนา เที่ยวนี้ชาวนาไทยคงได้ขายนาให้แขกอาหรับแน่ เพราะข้าวไทย จะถูกข้าวเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าส่งเข้ามาตีตลาดในประเทศกระเจิงแน่นอน

เรื่องเศรษฐีน้ำมันอาหรับ ออกล่าที่นาปลูกข้าวทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ วันนี้ผมมี ข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟ จากวารสาร การเงินธนาคาร ฉบับเดือนกรกฎาคม ที่เจาะลึกในเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้แขกอาหรับไปไกลแล้ว

วารสาร การเงินธนาคาร รายงานว่า เมื่อต้นปีนี้ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย ประเทศมหาเศรษฐีน้ำมัน เพิ่งจะจัดงานใหญ่ฉลองต้อนรับ ผลผลิตข้าวงวดแรก ที่ได้จากการไปลงทุนปลูกข้าวใน ประเทศเอธิโอเปีย เมื่อปีก่อน ในฐานะ เจ้าของนา และ เจ้าของข้าว ครั้งแรกในโลกอาหรับ

รัฐบาลซาอุดีอาระเบียไปลงทุนเช่าที่นาจากรัฐบาลเอธิโอเปีย มูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีก่อน ปลูกข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ และ ข้าวสาลี เพื่อส่งกลับไปบริโภคในประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีแต่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

แม้แขกอาหรับจะร่ำรวยมหาศาลจากการขายน้ำมัน มีเงินสร้างเมืองใหม่ตึกใหม่ทันสมัย ทำเมืองในทะเลทรายเขียวขจีไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้าและสนามกอล์ฟ แต่ก็ยังไม่รวยพอที่จะกลั่นน้ำทะเลไปใช้ในการปลูกข้าวเป็นแสนเป็นล้านไร่ เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนอาหรับ เพราะค่ากลั่นน้ำทะเลมันแพงเกินกว่าที่จะเอาไปปลูกข้าว

ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการไป ซื้อที่นา หรือ เช่าที่นา ในประเทศยากจนปลูกข้าวแล้วส่งกลับไปเลี้ยงคนในประเทศ ซึ่งหลายประเทศในตะวันออกกลางก็ทำอย่างนี้

สถาบันวิจัยนโยบายอาหารระหว่างประเทศสหรัฐฯ ได้ศึกษาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดพบว่า นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ที่ดินเกษตรกรรมในประเทศยากจน ถูกนักลงทุนต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ เช่าไปเป็นจำนวนมากถึง 15-20 ล้านเฮกตาร์ ประมาณ 90-120 ล้านไร่ เทียบเท่ากับพื้นที่เกษตรกรรมของประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศเลยทีเดียว

เมื่อคำนวณออกมาเป็นเงินลงทุนและค่าเช่าแล้ว มีมูลค่าสูงถึง 20,000- 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 680,000 ล้านถึง 1 ล้านล้านบาท มากกว่ามูลค่าโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจนของ ธนาคารโลก ถึง 10 เท่า

ประเทศยากจนในแอฟริกา ต่างก็นำที่ดินเกษตรกรรมให้ต่างชาติเช่าเป็นจำนวนมาก เช่น ซูดาน ให้ รัฐบาลเกาหลีใต้ เช่าที่ดินเกษตร-กรรมเกือบ 700,000 เฮกตาร์ ประมาณ 4.3 ล้านไร่ ให้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี เช่าอีก 400,000 เฮกตาร์ ประมาณ 2.4 ล้านไร่ และประกาศจะกันที่ดินเพาะปลูกอีกประมาณ 1 ใน 5 ของภาคการเกษตร เพื่อให้เศรษฐีน้ำมันอาหรับมาเช่าทำเกษตรกรรมอีกด้วย

ล่าสุด รัฐบาลจีน ก็ไปทำสัญญาเช่าที่ดินกับ รัฐบาลคองโก ในแอฟริกาอีก 2.8 ล้านเฮกตาร์ ประมาณ 17 ล้านไร่ เพื่อปลูกปาล์มน้ำมันส่งกลับประเทศ

เมื่อมีข่าวเศรษฐีน้ำมันอาหรับมาดูพื้นที่เกษตรกรรมไทย เพื่อหาช่องทางลงทุนทางการเกษตรในเมืองไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เขาก็ตระเวนหาไปทั่วโลกอยู่แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับคนไทยและรัฐบาลไทยจะยอมให้ต่างชาติซื้อที่นาหรือเช่าที่นาไปปลูกข้าวแข่งกับชาวนาไทยที่ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือไม่

เศรษฐีอาหรับไม่ได้มาดูแค่เมืองไทย แต่ไปดูประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วย เช่น กัมพูชา ปีที่แล้ว รัฐบาลคูเวต ควักเงิน 500 ล้านดอลลาร์ 17,000 ล้านบาท ให้เขมรกู้เพื่อลงทุนพัฒนาระบบชลประทาน ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนทางการเกษตร รัฐบาลกาตาร์ เศรษฐีน้ำมันอีกประเทศ ก็ควักเงิน 200 ล้านดอลลาร์เกือบ 7,000 ล้านบาท ไปลงทุนปลูกข้าวในกัมพูชาเช่นเดียวกัน

อีกไม่ช้า ชาวนาไทยจะสะอื้นหนักกว่านี้ เมื่อตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งในโลกหลุดลอยไป ข้าวอาหรับ กัมพูชา พม่า เวียดนาม หลั่งไหลเข้ามาตีตลาดข้าวไทย ถ้าเรายังคิดไม่ทัน ยังเล่นการเมือง และบริหารประเทศกันแบบนี้.

ขอขอบุคณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์"ลม เปลี่ยนทิศ"

วันพุธที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เคยมีคนบอกว่ารอบของชีวิตคนเราทุก 7 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลง


คำตอบของชีวิต สิริยากร พุกกะเวส
เคยมีคนบอกว่ารอบของชีวิตคนเราทุก 7 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลง

หญิงสาวผมซอยสั้นทรงเก๋ในชุดกระโปรงลายจุดสวมทับด้วยแจ๊คเก็ตทะมัดทะแมงดูสะดุดตาเมื่อเดินเข้ามาในร้านกาแฟเล็กๆ ย่านสุขุมวิท เธอส่งเสียงทักทายอย่างร่าเริง ก่อนเปิดกล่องของขวัญที่ถือมาด้วยพลางโชว์ให้ชมฝีมือถัก นิตติ้งเป็นผ้าพันคอลายสวยที่เตรียมนำไปร่วมประมูลในงานการกุศลที่จะ มีขึ้นตอนบ่าย...เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่บ่งบอกว่าสาวสวยคนนี้ทำอะไรได้มากมายเหลือเกิน
แต่ครั้นเมื่อลงนั่งคุยกันแล้วลองให้ย้อนทบทวนความเป็นไปในชีวิตเมื่อปีที่ผ่านมา กลับได้มองเห็นชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนไปในทางทำอะไรต่อมิอะไรน้อยลง หากล้วนแต่เลือกแล้วว่าทั้งหมดที่ทำไปนั้นดีพอสำหรับชีวิตเมื่อปีที่ผ่านมา คนรักการใช้ชีวิต ที่เฝ้าติดตามผลงานสไตล์ OOM Living Day คงเห็นการจากไปของนิตยสาร OOM แต่มีพ็อกเก็ตบุ๊คภายใต้คอนเซ็ปต์ OOM Lifestyle Book ของสำนักพิมพ์ OOM เข้ามาแทนที่ ขณะเดียวกัน
ในระยะหลังมานี้ก็ดูเหมือนจะได้เห็น อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส เข้าไปมีส่วนร่วมกับงานบุญ (หรือที่หลายคนเรียกว่างานเพื่อสังคม) ถี่ขึ้นอีกด้วย

ท่านโอโช (Osho : มหาปราชญ์ชาวอินเดีย) ก็เคยพูดเอาไว้ว่าวุฒิภาวะของคนจะถึงรอบของมันทุกๆ 7 ปี โดยที่ไม่ได้เชื่อด้วยนะตอนแรก แต่พอมาลองทบทวนดูแล้วมันก็เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองจริง อย่างตอนอายุ 27 เป็นช่วงถามตัวเองเยอะ แต่ก็เป็นเหมือนคำถามตั้งหลักว่าจะทำอะไรต่อไป แล้วก็เลยตัดสินใจทำรายการทีวี
แล้วพอปีที่แล้ว ตอนใกล้จะอายุ 34 คืออุ้มเกิดกลางปีเดือนมิถุนายน สักเมษายนที่ผ่านมา อยู่ดีๆ ก็คิด...เกิดมาทำไมไม่ทราบ ชีวิตเราสิ่งที่สำคัญมันคืออะไร เราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ มีความรู้สึกอยากศึกษาเข้าใจตนเอง แล้วก็ถามตัวเองเยอะ...คือคำถามว่า เกิดมาทำไมนี่มันอาจจะฟังดูเหมือนคลิเช่ แต่อุ้มคิดว่าก็เป็นคำถามที่ควรจะเคาะหัวเราทุกคน ไม่อย่างนั้นเกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิต แล้วก็ตายไป เหมือนหลับอยู่ตลอดเวลา อุ้มคิดว่าตัวเองคงเหมือนพวกผ่านการฝึกหนัก ต้องเผชิญแรงต้านทานทางสังคมเยอะกว่าบางคนหลายเท่า เพราะฉะนั้นก็อาจจะถึงจุดที่ถามตัวเองเร็ว มองว่าชื่อเสียง เงินทอง บ้าน รถ เราก็มีหมดแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร เราอยากทำบริษัท อยากมีอะไรเป็นของตัวเอง ก็ทำมาหมดแล้ว มีคนเกือบ 20 คนที่ออฟฟิศ เคยทำรายการทีวี แมกกาซีนก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง มันเลยแบบ... เฮ้ย แล้วยังไงต่อไปเหรอ
ใช้เวลาสองเดือนนั่งทบทวน ผ่านกระบวนการคิดเยอะมากว่าจะเอายังไงต่อไป และได้คำตอบสำคัญที่สุดก็คือ อย่าเพิ่งใช้ชีวิตแบบนี้ อย่าเพิ่งโง่ทำอะไรต่อไปอีก เพราะเรายังไม่รู้จักตัวเอง เราอยู่ด้วยความไม่รู้เยอะ และลองผิดลองถูกจากการคิดเอาเอง ก็เลยคิดว่า หยุด ตอนเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก่อนวันเกิด อุ้มก็เลยเลิกบริษัท (หัวเราะ) เรียกประชุม แล้วก็บอกว่าจากนี้เราเป็นอิสระต่อกัน ใครที่ทำงานด้วยกันได้ ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ เป็นฟรีแลนซ์ และปรับโมเดลแมกกาซีนให้เป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค และลดต้นทุนทุกอย่าง คนเราควรจะลดต้นทุนของชีวิตให้ต่ำที่สุด เพราะเราต้องไม่ประมาท เพราะฉะนั้นการที่เราหยุด และทำอะไรที่น้อยลง เล็กลง ก็เพื่อให้เราได้ให้เวลากับตัวเอง ไม่อย่างนั้นเราจะเหมือนถีบจักร
ในช่วงครึ่งปีหลังจึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องจัดการเคลียร์บริษัท คือการทำอะไรแบบนี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ตัดได้ง่ายนะคะ มันมีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก แต่เราก็ยังรู้สึกดีแล้วที่หยุด ตั้งสติ ค่อยๆ เคลียร์ไปจนกระทั่งเสร็จสิ้น หันมาทำธุรกิจในสเกลที่เล็กลงมากและเหมาะสม แล้วก็ยังได้ไปวิปัสสนา
ถึงแม้จะไม่ใช่การไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก แต่การได้ไปวิปัสสนากับสำนักโกเอ็นก้า ศูนย์ฯ ธรรมกาญจนา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ถือเป็นการเดินทางเข้าไปภายในจิตใจตนครั้งสำคัญ และทำให้ชีวิตได้ทำความรู้จักกับความสงบสุขอย่างแท้จริง
คำว่า ปฏิบัติธรรม สำหรับบางคนอาจจะมีทัศนคติบางอย่างปนเข้ามา แต่อุ้มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของการผิดหวังแล้วไปหาความสงบ ไม่ใช่เลย ในห้องปฏิบัติกรรมฐานมันเป็นยิ่งกว่าสนามรบ ยากกว่าที่เราใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้อีก เพราะฉะนั้นการที่คนบางทีไม่รับคำว่าปฏิบัติธรรม เพราะบางคนไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญกับตนเอง และหลบเลี่ยงไปด้วยการเอาสิ่งอื่นกลบไว้ เอางานมากลบความว้าวุ่นบางอย่าง แล้วก็บอกว่างานคือสาระของชีวิต ต้องทำเพื่อให้มีอะไรบางอย่างยึดเกาะ หรือเอาการสนใจชีวิตคนอื่นมากลบการทำความเข้าใจชีวิตตนเอง อุ้มคิดว่าการที่คนสนใจเรื่องใครเป็นอะไรกัน ใครทำอะไร เป็นแค่การกลบเกลื่อนการกลับเข้ามาดูตัวเอง ไปสนใจคนอื่นซะ คุณจะได้ไม่ต้องสนใจตัวเองไง ซึ่งเราก็จะตายไปแบบเฉาๆ แบบเสียชาติเกิด เพราะเราอุตส่าห์ได้โอกาสในการเกิดมาแล้วนะ
รอยยิ้มรื่นในดวงตาคู่สวยของสิริยากรอาจช่วยยืนยันได้ดีว่า ทุกวันนี้เธอมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงที่นำความพอดีมาสู่ชีวิต ตื่นเช้าขึ้นมามีความสุขอย่างผ่อนคลาย แล้วพอนึกย้อนกลับไป โห ก่อนหน้านี้เราทำมากขนาดนั้นไปได้อย่างไรนี่ โคตรเหนื่อยเลย ทุกวันนี้ทำงานที่บ้าน ทำพ็อกเก็ตบุ๊คโดยไม่ต้องมีออฟฟิศ เล่มหนึ่งใช้คนไม่เกิน 5 คน แล้วก็ทำได้ ออกมาก็ขายดี เบรกอีเวนท์เร็วมาก ก็แสดงว่าเป็นโมเดลที่เหมาะสมกับกำลังของตัวเอง มีความสุข สนุกมาก และทำอะไรเอง อุ้มคิดว่าการพึ่งตนเองให้ได้มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนะคะ
นอกจากนี้ก็ยังไปช่วยงานโน่นนั่นนี่ ได้เริ่มทำอะไรเพื่อคนอื่นๆ อย่างช่วงหลังมานี้จะเห็นว่าอุ้มทำโครงการ...แบบที่ไม่ได้ค่าตอบแทน เขาจะเรียกว่าเพื่อสังคมใช่มั้ยคะ เยอะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะอุ้มคิดว่าถ้าเราเพียงพอแล้ว เราก็ทำไปเลย ด้วยกำลังกาย ด้วยกำลังใจที่มี เพื่อช่วยคนอื่น เพราะถ้าเราไม่เต็ม เราก็ช่วยใครไม่ได้ เรื่องพวกนี้มันต้องถึงจุดหนึ่งก่อนนะคะ และอุ้มเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าเราทำความดี มันจะมีความดีมาให้ทำ มีคนโทรฯ มาเชิญไปโน่นไปนี่เยอะมาก ซึ่งก็ต้องเลือกด้วยว่าอันไหนดีอย่างยั่งยืน อันไหนเราควรที่จะช่วยหรือไม่ช่วย และทุกครั้งไม่ว่าจะทำทานนั้นด้วยเงิน หรือด้วยกำลัง ทันทีที่หลุดจากเราไปแล้วต้องบริสุทธิ์ใจ ถ้าเคลือบแคลงปั๊บ ทานนั้นก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้แล้วก็ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำอะไรรู้มั้ย จัดระเบียบบ้าน เป็นพวก Control Freek อุ้มคิดว่าจริงๆ แล้วเราควรจัดการชีวิตให้รกน้อยที่สุด ทั้งไม่รกแบบ Physical แล้วก็แบบ Mentally ด้วย แต่อุ้มก็ไม่ใช่คนปลงนะ อย่าใช้คำนี้ ก็ยังเป็นอารมณ์แบบว่า ฮึ่ม ได้อยู่ มีทุกอารมณ์ครบ แต่เราเห็น เห็นว่า อารมณ์เสีย (หัวเราะ) เห็นว่า ฮึ้ย เห็นว่า ดีจัง มันเหมือนแยกกันออก ทำให้เราไม่เป็นเจ้าของตัวเองมาก แล้วก็ยังไม่ได้ละทางโลกนะคะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นบ้า ชอบกลิ่นหอม มีราคะจริตสูงมากกับเรื่องกลิ่น ชอบให้ห้องหอมกรุ่นผสมกลิ่นต่างๆ รูป รส กลิ่นเสียง ชอบฟังเพลง ชอบดูหนัง ยังมีอารมณ์พวกนี้หมด แต่เข้าใจว่า อ๋อ เออ กลิ่นอึกับกลิ่น Lime Basil หรือ กลิ่น Wild Fig มันก็แค่กลิ่น...เหมือนกัน เพียงแต่ฉันชอบ Wild Fig มากกว่านะ
และสำหรับหญิงสาววัย 34 ปีผู้เคยประกาศกับสื่อว่าไม่อยากแต่งงาน ความรักก็เป็นอีกเรื่องที่เธอได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ชอบมีความรัก แต่ไม่ได้อยากแต่งงาน ขี้รำคาญ ชอบที่คาลิล ยิบราล เคยพูดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความรักว่า ที่จริงแล้วความรักก็เหมือนเสาสองต้น เสาของวิหารยังต้องมีระยะระหว่างกัน อุ้มเคยมีความรักแบบต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลามาแล้ว ก็...เอ๊ะ ไม่ใช่นะ ความรักก็เป็นอีกเรื่องที่ อ๋อ เออ ตอนนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็มีความสุขในระดับหนึ่งเสมอ ไม่ค่อยชอบสุขมากๆ ชอบสุขในระดับหนึ่ง
นอกเหนือจากได้สัมผัสกับความสุขในระดับพอดีๆ แล้ว การค้นพบคำตอบของคำถามเคาะกะโหลกตนเอง เกิดมาทำไม ทำให้เป้าหมายต่อไปของการมีชีวิตอยู่ชัดเจนขึ้น
เกิดมาเพื่อรู้จักตัวเอง แล้วไม่ต้องเกิดอีก อุ้มว่าเป็นคำตอบที่คงจะอยู่ตลอดไป เกิดมาเพื่อไม่ต้องเกิดอีก ถ้ายังใช้เวลาที่เขาให้มาในการยังอ่านหนังสือก๊อซซิปอยู่ (หัวเราะ) ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ แต่อันนั้นสัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตัวเอง ไม่รู้สิ You are What You Read นะ อุ้มอาจจะคิดอะไรไม่เหมือนบางคน ก็เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัว ไม่ได้บอกว่าความคิดนั้นถูกต้องหรือเปล่า แต่นี่คือสิ่งหนึ่งเลยที่ทำให้อุ้มไม่อยากเล่นละครแล้ว เพราะละครทำให้คนมีโมหะ มีความหลงสูงมากๆ อุ้มจะทำให้คนวุ่นวายสนใจอยู่กับเรื่องพวกนี้ ทั้งที่ความจริงมันก็แค่ละครเรื่องหนึ่ง แต่ต้องบอกว่าการที่ได้เคยเล่นละครมาก็มีคุณประโยชน์บางอย่าง ต้องขอบคุณสิ่งนั้นที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้
และด้วยความเป็นคนดังนั่นเองที่ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกจับตามอง และเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากก็คือการเข้ามารับหน้าที่โฆษกให้กับผู้สมัครอิสระ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศักดิ์ ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ครั้งที่เป็นโมฆะไปเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว
ตอนนั้นเป้าหมายของการเข้าไปช่วย คิดแค่ว่าอยากช่วยให้ดร.แดน ได้เป็นผู้ว่ากทม. เพราะท่านเป็นผู้สมัครพรรคอิสระ และสนามกรุงเทพฯ อาจเป็นโอกาสเดียวที่ผู้สมัครไม่ต้องสังกัดพรรค คือถ้าเป็นระดับประเทศนี่ไม่ต้องพูดกัน เพราะมันเป็นเรื่องของพรรคการเมือง ไม่ได้ช่วยเพราะอุ้มอยากจะเล่นการเมืองหรืออะไร ไม่เกี่ยว เพียงแต่นี่เป็นพาร์ทหนึ่งของการได้มาซึ่งอำนาจ ก็ต้องผ่านกระบวนการทางการเมือง แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือหากท่านได้เข้าไปเป็นผู้ว่ากทม. จริงๆ สิ่งที่ท่านนำเสนอหลายเรื่อง ถ้าลองพิจาณาดูดีๆ มันแจ๋วมากเลย เป็นประโยชน์ต่อคนกรุงเทพฯ และจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีคนบอกว่า แหม อุดมคติจัง ซื่อจัง คิดเหรอว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้ คือการเมืองมันก็เป็นการเมือง เป็นแค่เรื่องอำนาจกับผลประโยชน์ แต่อุ้มคิดว่าทุกแรงที่ลงไปมันไม่สูญเปล่าหรอก ถึงแม้ว่ามันอาจจะเกิดผลบ้าง ไม่เกิดผลบ้าง แต่ไม่ช้าก็เร็ว ความชั่วร้ายจะทำลายตนเอง หรืออ่อนกำลังลงไป และคงมีโอกาสให้สิ่งดีเกิดขึ้นได้บ้าง อุ้มยังเชื่อเช่นนั้น และคิดว่าเราทุกคนก็ควรมีบทบาทบางประการในการดูแลบ้านเมือง ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่โดยพอถึงวันเลือกตั้งออกไปกากบาท การศึกษา พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็เป็นบทบาททาง การเมืองที่สำคัญ
ว่ากันว่า วังวนบางอย่างก็เย้ายวนและดึงดูด จนอดกังขาไม่ได้ถึงอนาคตความน่าจะเป็นในการก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว
อุ้มไม่สนใจการเมืองภาพใหญ่เลย ก่อนหน้านี้ก็มีคนมาคุยเรื่อยๆ นะ ก็ไม่สนใจเลย แต่จะไม่มีการฟันธงอะไรทั้งนั้นนะคะ อ่านบทสัมภาษณ์นี้จบก็ลืมมันไปซะเถอะ เพราะมันเป็นบทสัมภาษณ์เกิดขึ้นตอนนี้ อุ้มในอีกสองเดือนข้างหน้าก็อาจจะเปลี่ยนความคิดไปอีก อย่าไปตีตราว่า เราต้องเป็นอย่างนี้ตลอดจนลงโลงไป เดี๋ยวบางคนจะบอก เอ้า...ไหนตอนนั้นเคยพูดไว้อย่างนั้นไง แต่ขอโทษนะสถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งเลยอุ้มคิดว่ามันคงไม่ได้ completely เปลี่ยน นั่นคืออุ้มอยากจะทำอะไรก็ได้ให้ยังประโยชน์สูงสุด
ด้วยความตั้งใจดังกล่าว จึงทำให้อุ้มพาตัวเองเข้าไปเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำงานบุญเพื่อหารายได้จำนวน 50 ล้านบาทให้กับวัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับใช้ในการก่อสร้างหอปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จก็จะสามารถรองรับผู้มาปฏิบัติธรรมได้ทั้งองค์กร และนั่นหมายถึงคนจำนวนมากรุ่นแล้วรุ่นเล่าจะมีโอกาสได้พบกับธรรมะ จึงเป็นที่มาของ โครงการน้ำจิต-น้ำใจ จัดทำน้ำดื่มออกจำหน่ายในราคาคู่ละ 20 บาท (ขวดละ 10 บาท) ที่ร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายนโดยประมาณ
จริงๆ แล้วอุ้มชอบเป็นโปรดิวเซอร์นะ ชอบจัดการโน่นนี่ ก็นั่งลิสต์เลยว่าจะต้องมีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง อะไรต้องมาก่อน แล้วก็ไล่โทร.ทีละอัน เริ่มจากไปขอให้พี่สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ คิดชื่อน้ำให้ ก็ได้ชื่อมาว่า น้ำจิต น้ำใจ ซึ่งเป็นชื่อโครงการได้ด้วย จากนั้นก็โทร.หา บริษัทกราฟิกดีไซน์ ถ้าพี่ไม่กลัวเจอหนูอีกชาติหน้าก็ช่วยออกแบบฉลากให้หน่อย แล้วที่ขำคือโทร.ไปหาพระอาจารย์ ขอให้ช่วยเขียนข้อความที่จะอยู่ข้างขวดให้หน่อยได้มั้ยคะ พระอาจารย์ก็ตอบมาว่า copy น่ะเหรอคุณโยม (หัวเราะสนุก) สิ่งที่ทำทั้งหมดก็มาจากประสบการณ์ของเรานี่ล่ะ ตอนทำบ้านอุ้มลิฟวิ่งเดย์ เคยทำน้ำดื่ม ก็เลยรู้ว่าการทำน้ำต้องทำยังไง ทำให้เรา พบว่าบางทีถึงจะไม่ได้ประสบความสำเร็จในอะไร แต่ก็ได้เรียนรู้เยอะมาก ทุกอย่างมันสร้างต้นทุนความรู้ แล้วก็นำกลับมาใช้ได้หมดเลย
และเมื่อปีใหม่มาเยือน แผนชีวิตที่วาดไว้จะเป็นอย่างไรต่อไป อุ้มตอบได้เพียงว่าสำนักพิมพ์ OOM ก็ยังคงมีแผนออกหนังสืออีกหลายเล่มภายใต้กำลังกายและกำลังเงินที่พอเหมาะพอเพียง
ปีนี้จะอายุ 35 แล้ว ลองนึกดูนะคะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตอนอายุ 35 ท่านใช้เวลาอีกที่เหลือจนอายุ 80 ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นช่วงเวลา 45 ปีที่ยังอีกยาวไกล เราเองก็ยังทำอะไรได้อีกเยอะเลย เพียงแต่สำหรับอุ้มความทะเยอทะยานส่วนตัวเอง ชื่อเสียง เงินทอง มันไม่ได้เป็นไปในทางโลกแล้ว ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องมีชื่อเสียงเพื่อเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสัก 10 ตัว เพื่อให้ได้เงินมาเยอะๆ นั่นไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต เพราะอย่างที่บอกว่าเป้าหมายในชีวิตคือการหลุดพ้นไปเลย แล้วอุ้มก็อธิษฐานให้ทุกคนหลุดพ้นให้หมด คือนอกจากขอให้สุขภาพแข็งแรง เดี๋ยวนี้ก็อธิษฐานเพิ่มด้วยว่าขอให้ทุกคนได้พบธรรมะ และหลุดพ้นกันให้หมด ดีกว่าอีก ส่วนแผนการอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามาเอง บางทีเราก็ยังไม่รู้หรอก
เป็นคำตอบจากคนที่รู้จัก และเข้าใจตนดีพอ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรจะผ่านเข้ามาก็พร้อมรับเสมอ อย่างเรื่องสุขภาพ ก่อนหน้านี้เข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด เชื่อมั้ย ที่ผ่าตัดเพราะต่อมน้ำเหลืองโต แล้วหมอสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือเปล่า วันที่ได้ยินหมอพูดแบบนี้ คิดเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตายก็ตาย ถ้าตายปุ๊บ เกิดใหม่ ฉันจะปฏิบัติธรรมต่อทันที ถ้าชีวิตนี้มีเวลาแค่นี้ที่ให้ได้ทำ ชีวิตหน้าก็ทำต่อ จบ
การได้พบธรรมะ การปฏิบัติธรรม มันทำให้เราเผชิญกับอะไรต่อมิอะไรแบบนี้ได้ แต่ก็มีนะคะวันที่แบบ...ร้องไห้เลย กลัว เพียงแต่ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นคือ อืม เลวร้ายที่สุดคืออะไร แล้วก็เห็น...เห็นก่อน แต่สุดท้ายผลตรวจออกมาปรากฏว่าไม่เป็นอะไร อาจเป็นเพราะภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ต่อมน้ำเหลืองมันก็เลยโต ตอนนี้ก็ดูแลตัวเองต่อไป กินผักผลไม้เยอะมาก ออกกำลังกาย ทำวิปัสสนา ก็สบายใจดี
เมื่อได้ค้นพบแล้วถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ ระยะทางอีกกว่าครึ่งชีวิตที่เหลือก็คงไม่ยากเย็นเท่าไร เพียงแค่เดินไปตามเส้นทางของการรู้จักใจตน โดยไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่แบ่งปัน

ขอขอบคุณ นิตยสาร Women Plus