นิตย สารไทม์ส ฉบับวันที่ 7 เมษายน 2551 มีคอลัมน์พิเศษขึ้นปกว่า The Clean Energy Myth (เรื่องลวงของพลังงานสะอาด) พร้อมลงภาพฝักข้าวโพดห่อหุ้มไว้ด้วยธนบัตร และโปรยเรื่องประกอบภาพแปลความได้ว่า
ทั้งนักการเมือง และนักธุรกิจใหญ่ กำลังผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพ อย่างเช่น เอทานอล ที่ผลิตจากข้าวโพดไปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมัน สิ่งที่คนเหล่านั้นกำลังทำจริงๆ ก็คือ การทำให้อาหารมีราคาแพงขึ้น และ ทำให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงยิ่งขึ้น โดยที่ตัวคุณเอง (หมายถึง คนอ่านที่สนับสนุนการกระทำดังกล่าว) กำลังเป็นคนจ่ายค่าโง่ให้กับสิ่งเหล่านี้
เคย สงสัยกันบ้างหรือไม่ เหตุใดพืชอาหารบางชนิด ที่สามารถดัดแปลงไปเป็นพลังงานทดแทนได้ อย่างเช่น อ้อย มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม หรือข้าวโพด จู่ๆจึงกลายเป็นผู้ร้ายหรือตัวก่อปัญหา
ทั้ง ที่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ การปลูกพืชดังกล่าว ได้รับการยกย่องว่า เป็นความชาญฉลาดของมนุษยชาติที่รู้จักเลือกสรรเชื้อเพลิงสะอาดมาช่วยแก้ ปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงราคาแพง แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อน
ภาพลักษณ์ของ พืชพลังงานทดแทนเหล่านั้น เมื่อวันวานเคยเปรียบได้กับ "พระเอกผู้กอบกู้โลก" มาวันนี้หลังจากมีข่าวเชิงลบออกมากระหน่ำ ตามสายตาชาวโลกส่วนหนึ่งกำลังมองว่า ไม่ต่างกับ "พืชพระเอกในคราบผู้ร้าย"
การ ที่องค์การสหประชาชาติ และธนาคารโลก ออกมาเตือนทุกประเทศให้ระวังวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหาร เพราะเห็นว่าการทุ่มปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารของมนุษย์ เพื่อนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงทดแทน โดยการขยายพื้นที่ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดอย่างกว้างขวางทั่วโลก
นอกจาก ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกพืชเดิมของแต่ละท้องถิ่น ยังทำให้ผลผลิตของพืชที่ใช้บริโภคหลัก อย่างเช่น ข้าว และข้าวสาลี ลดลงไปด้วย
การที่หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมให้ปลูกพืชพลังงาน เพื่อนำไปใช้ ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ยกตัวอย่าง น้ำมันเบนซินผสมกับเอทานอล ซึ่งสกัดได้จากอ้อย มันสำปะหลัง หรือข้าวโพด หรือใช้มาตรการสนับสนุนเชื้อเพลิงชีวภาพในรูปแบบอื่น
ปัจจัยข้างต้น มีส่วนผลักดันให้เกษตรกรในหลายประเทศ เร่งขยายพื้นที่ปลูกพืชพลังงานทดแทนกันอย่างมโหฬาร ทำให้พื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นป่าเขา ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ หรือป่าชายเลน แม้กระทั่งแหล่งที่เคยใช้ทำนาปลูกข้าว ถูกปรับเปลี่ยน แผ้วถาง หรือบุกรุกทำลายเพื่อหันไปปลูกพืชพลังงานกันอย่างกว้างขวาง
ผลที่ ตามมา บางประเทศที่เคยมีผลผลิตข้าวเพียงพอสำหรับเลี้ยงคนในประเทศตัวเอง และเหลือส่งออก เริ่มไม่เพียงพอ กลายเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าข้าวจากประเทศอื่น ดังมีตัวอย่างเช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
นอกจากนี้ ในบางประเทศที่เกษตรกรส่วนใหญ่ ไม่มีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเอง ยังผลักดันให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ป่าชายเลน หรือทุ่งหญ้าใช้เลี้ยงสัตว์ แปรสภาพไปเป็นพื้นที่ปลูกอ้อย มัน หรือปาล์มน้ำมัน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตพลังงานทดแทน
ภาพรวม ของปัญหาที่เชื่อมกันเป็นลูกโซ่ ไม่เพียงส่งผลให้พื้นที่ซึ่งเคยใช้ปลูกพืชอาหารเลี้ยงชาวโลกลดลงเรื่อยๆ การที่โลกใบนี้ยังต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้ดิน ฟ้า อากาศ แปรปรวน
นอกจากผลักดันให้พืชอาหารหลัก อย่างข้าว หรือข้าวสาลี มีราคาแพงขึ้น
ยัง ผลักดันให้ราคาพืชอาหารรองบางอย่าง เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม ถีบตัวสูงตามไปด้วย เพราะเกิดการแย่งใช้กันระหว่างภาคอาหาร (ให้คนกิน) กับภาคยานยนต์ (ให้เครื่องยนต์กิน)
เหนืออื่นใด ความเชื่อที่มีอยู่เดิมว่า การขยายผลผลิตพืชพลังงานทั่วโลก คือ หนทางช่วยลดภาวะโลกร้อน เพราะการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก หรือพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น ย่อมช่วยเพิ่มตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อน
...แต่ผลของการศึกษาล่าสุด กลับได้ข้อสรุปออกมาว่า การที่ทั่วโลกตั้งหน้าตั้งตาขยายพื้นที่ปลูกพืชพลังงาน เมื่อเทียบกับ สัดส่วนการลดลงของพื้นที่ป่า ป่าชายเลน และ ทุ่งหญ้า ซึ่งถูกบุกรุกแผ้วถาง เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่ปลูกพืชพลังงาน
ท้ายที่สุดแล้ว หักกลบลบกัน แทนที่จะเกิดผลดีช่วยลดภาวะโลกร้อน กลับจะมีผลเสียมากกว่า
เพราะ การที่โลกใบนี้ต้องสูญเสียพื้นที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ในธรรมชาติ ทั้งที่เป็นป่าเขา ป่าชายเลน และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ แลกกับการเปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นที่สีเขียวปลูกพืชพลังงาน เป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสีย
เหลียวกลับมามองเมืองไทย ด้านหนึ่งเรามีนโยบายส่งเสริมการผลิตพืชพลังงาน โดยกำหนดเป็นแผนแม่บทด้านพลังงานทดแทนระยะยาว 15 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2565 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น
แถมยังตั้งเป้าให้ ภาคอีสาน เป็นแหล่งผลิตพืชพลังงานทดแทนที่สำคัญของประเทศ โดยนำที่ดินทิ้งร้างจากส่วนราชการมาแจกจ่ายให้เกษตรกร เช่าปลูกพืชพลังงานทดแทน หวังลดการพึ่งพานำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศในอนาคต
แต่ อีกด้าน....เราถูกค้ำคอด้วยอนุสัญญา ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีภาระหน้าที่หลัก ต้องไม่ทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และระบบนิเวศตามธรรมชาติ โดยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ในข้อที่ 1๚12
ประเด็นที่ดูเหมือนขัดแย้งกันอยู่ในที สร้างความหนักใจให้เมืองไทยไม่น้อย
แต่ สุวิทย์ คุณกิตติ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถูกเชิญไปเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับเอเชียแปซิฟิก ว่าด้วยการส่งเสริมผลิตและใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งจัดที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เมื่อไม่นานมานี้ สามารถหาทางออก เอาตัวรอดไปได้ อย่างหวุดหวิด
เขาบอกว่า การที่ประเทศไทยมีบ่อน้ำมันบนดินมากมาย ทั้งไร่อ้อย มันสำปะหลัง และน้ำมันปาล์ม ทำให้คนไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้มากกว่าหลายประเทศ
"แม้ ประเทศสมาชิกตามอนุสัญญา เป็นห่วงว่า รัฐบาลไทยส่งเสริมให้ปลูกพืชพลังงานทดแทนน้ำมัน จะไปเร่งให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น ขอเรียนว่าปัญหานี้จะไม่เกิด เพราะก่อนที่เราจะส่งเสริมให้ปลูกพืชพลังงาน เราได้กันพื้นที่ป่าอนุรักษ์ออกไว้ก่อนแล้ว ส่วนป่าสัมปทานที่หมดอายุ ก็จะนำไปผนวกเข้าไว้กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เรื่องนี้จึงหมดห่วง"
สำหรับ ข้อห่วงใยถัดมา ที่นานาชาติมองว่า การที่ไทยระดมปลูกพืชพลังงานครั้งใหญ่ อาจมีผลต่อพื้นที่ปลูกพืชอาหารหลัก อย่างข้าว ซึ่งไทยเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับต้นของโลก และมีชาวโลกฝากท้องไว้กับข้าวไทยหลายร้อยล้านชีวิต
รัฐมนตรีฯ สุวิทย์ ชี้แจงประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปขายต่างประเทศประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 30 เปอร์เซ็นต์ ใช้บริโภคในประเทศ จึงเห็นได้ว่า เวลานี้ข้าวไทยยังไม่ขาดแคลนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
อย่าง ไรก็ตาม เขาเสริมว่า ข้อห่วงใยข้างต้น รัฐบาลไทยตระหนักดีและได้หาทางออกไว้แล้ว โดยการกำหนดพื้นที่ปลูกข้าว และพื้นที่ปลูกพืชพลังงาน แยกออกจากกันอย่างชัดเจน
"เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะบูรณาการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และบริหารจัดการน้ำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด"
"รัฐบาล มีแผนจะนำน้ำไปแจกจ่ายให้ถึงไร่นา ในพื้นที่ที่กำหนดทุกแปลง เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี แบบเดียวกับการต่อท่อน้ำประปาไปให้ใช้ตามบ้าน
ด้วยวิธีนี้จะช่วย เพิ่มผลผลิตต่อไร่ขึ้นมาเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ก็ไม่ต้องไปขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม ทำให้ปัญหาความสมดุลทางชีวภาพลดลงตามไปด้วย"
ทุกประเด็น ที่ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงต่อสื่อมวลชนและที่ประชุม เขาว่า ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับจากนี้ น่าจะเริ่มมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
ตั้ง 6 เดือน แค่เริ่มมองเห็นภาพชัดขึ้น น่าหวั่นใจว่า รอให้เวลานั้นมาถึง ยังจะมีรัฐบาลชุดนี้อีกต่อไปหรือไม่.
อ้างอิงถึง http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/56513